วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๓)

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๓)
เรื่อง : พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙
     ผู้เขียนและคณะทีมงานของสถาบันฯมีความปลื้มปีติที่ได้แสดงความกตัญญูตอบแทนและประกาศเกียรติคุณของพระเดชพระคุณ-พระเทพญาณมหามุนี วิ. (หลวงพ่อธัมมชโย) ที่เป็นองค์สถาปนาสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัยซึ่งท่านมีมโนปณิธานมาเป็นเวลากว่า ๓๕ ปีว่าน่าจะมีใครสักคนหรือหลาย ๆ คนในองค์กรทำการค้นคว้าหาหลักฐานคำสอนดั้งเดิมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะเรื่องธรรมกายเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ

     ในวาระอายุวัฒนมงคล ๗๒ ปีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้เขียนในฐานะประธานอำนวยการสถาบันฯ จึงรวบรวมหมู่คณะที่อยู่ในภาคสนามตามแหล่งข้อมูลที่กระจัดกระจายไปตามทวีปต่าง ๆ ให้มาร่วมใจกันจัดงานเสวนาบูชาธรรมในเรื่องหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณครั้งที่ ๓ ณ ห้องประชุมชั้น ๑ อาคาร ๑๐๐ ปีคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ณ วัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายนที่ผ่านมา โดยมีผ้สู นใจเข้าร่วมเสวนาและรับฟังทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา รวมทั้งเหล่ากัลยาณมิตรเป็นจำนวนถึง ๑,๕๐๐ ท่านซึ่งทุกท่านต่างตั้งใจรับฟังโดยไม่ลุกจากที่นั่งทั้งในภาคเช้าและภาคบ่าย

     การจัดงานดังกล่าวถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์และได้กลุ่มเป้าหมายที่สนใจเข้าฟังการเสวนาทางวิชาการตรงตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้ทุกคนได้ความรู้และเข้าใจว่า จากการทำ วิจัยในภาคสนามหลายแห่งได้พบหลักฐานที่ปรากฏอยู่จริง อ้างอิงได้ชัดเจน ทำให้มีความเข้าใจในเรื่องธรรมกายอย่างถ่องแท้ว่า มีหลักฐานปรากฏในคัมภีร์พุทธโบราณและคำจารึกต่าง ๆนอกจากนี้จะได้นำหลักฐานผลงานวิจัยมาต่อยอดในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี ท้งั เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับนักวิชาการทั่วโลก อันจะนำไปสู่การขยายผลให้ความรู้เรื่องธรรมกายขยายวงกว้าง เพื่อช่วยเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนาได้

     ในวันงานเสวนาบูชาธรรมนั้น ผู้เขียนและคณะได้รับการสนับสนุนจากกัลยาณมิตรผู้ใจบุญที่เป็นกรรมการที่ปรึกษาและอุปถัมภ์ของสถาบันฯ ตลอดจนผู้ใหญ่ใจดี จึงทำให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งและที่สำคัญการได้รับอนุญาตให้ใช้อาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ได้ใช้อาคารห้องประชุมของผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกายในการจัดงานนี้ ซึ่งนับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง แม้ว่าอาคารยังก่อสร้างไม่สมบูรณ์และยังไม่ได้มีการส่งมอบงาน แต่คณะผู้จัดงานก็ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อและคณะกรรมการบริหารองค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ ภายในวัด จึงขอโอกาสอนุโมทนาบุญ ขอบคุณท่านท้งั หลายเหล่าน้นั และขอบคุณหน่วยงานทุก ๆ สำนัก ที่ส่งอาสาสมัครรวมทั้งให้ยืมอุปกรณ์จนทำให้งานสำเร็จด้วยดี
พระชยานันทมุนี, ดร. ในนามศูนย์วิจัยพุทธศาสตร์นครน่าน มจร. เเละวัดพระธาตแช่แห้งน้อมถวาย
ใบประกาศเกียรติคุณ เเด่พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี วิ. ที่ได้สนับสนุนโครงการ
อนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาไทย ด้วยการจัดทำดิจิไทเซชันคัมภีร์ใบลานล้านนา ฉบับนครน่าน
รวมทั้งสนับสนุนการศึกษานักธรรม–บาลีทั้งภายในเเละต่างประเทศ โดยมีพระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. เป็นผู้เเทนรับมอบ

     ฉบับนี้ ผู้เขียนจึงขอสรุปบรรยากาศการเสวนาและย่อเนื้อหาความรู้ของผู้วิจัยที่ปฏิบัติหน้าที่ในภาคสนามจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้

     ในงานนี้มีพิธีสำคัญประการหนึ่ง คือ พิธีลงนามสัญญาเพื่อความร่วมมือทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนา ระหว่างสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (Dhammachai International Research Institute-DIRI) กับหน่วยงาน International Buddha Education Institute (IBEI)
พิธีลงนามสัญญาเพื่อร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่าง Chairman
ของสถาบัน IBEI (Most Ven. Loknayak Ashva Ghosh Mahanayak
Mahathera) กับ พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) Chairman
ของสถาบัน DIRI โดยมี Dr. Heero Hito และ Dr. Jeffrey Wilson ร่วมเป็นสักขีพยาน

ในวันงานนักวิจัยได้นำเสนอผลงาน โดยแบ่งเป็น ๔ ส่วน ดังนี้

     ๑. ภูมิศาสตร์ของหลักฐานธรรมกายในเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
     ๒. หลักฐานธรรมกายในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออก
     ๓. หลักฐานธรรมกายในเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์
     ๔. หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธบาลี
หนังสือพิมพ์แห่งชาติอินเดีย Hindustan (มียอดจำหน่ายต่อวัน๑,๐๐๐,๐๐๐ ฉบับ)
ตีพิมพ์พิธีลงนามสัญญา (MOU) ในวันงานเสวนาบูชาธรรมครั้งนี้ด้วย

     ในส่วนที่ ๑ ผู้เขียนเป็นผู้นำเสนอ โดยบรรยายเรื่อง “ภูมิศาสตร์ของหลักฐานธรรมกายในเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา” มีสาระสำคัญที่ได้ปรารภในเบื้องต้นว่า พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี วิ. (หลวงพ่อธัมมชโย) ท่านมีความตั้งใจสืบค้นคำสอนดั้งเดิมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยให้หาหลักฐาน ไม่ว่าจะจารึกบันทึกอยู่ในรูปแบบลักษณะ หรือวัตถุชนิดใด เพื่อทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่อง “ธรรมกาย” ซึ่งผู้เขียนและคณะได้เริ่มเข้ารับการศึกษาพัฒนาตนเองในมหาวิทยาลัยต่าง ๆเพื่อให้ได้ความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัย และเริ่มทำการสำรวจในภาคสนาม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๒ โดยคณะทำงานชุดแรกมี ๔ ท่าน ได้รับความเมตตาจากผู้เชี่ยวชาญพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ Dr. Edward Crangle รับเป็นที่ปรึกษาโครงการ 
โดยเริ่มทำการพัฒนาตนเองและเรียนรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยตามระบบสากลในภาคพื้นโอเชียเนีย และเข้าร่วมประชุมด้านวิชาการพระพุทธศาสนาที่มีการประชุมในระดับนานาชาติในทวีปยุโรป ตามด้วยทวีปอเมริกา จนทำให้ทราบว่ามีแหล่งข้อมูลคัมภีร์พุทธโบราณและร่องรอยหลักฐานธรรมกายอยู่หลายแห่ง ต่อมาทางสถาบันฯ มีทีมงานนักวิจัยมาเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้สามารถแบ่งความรับผิดชอบการทำงานวิจัยไปตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ทวีปเอเชีย อันได้แก่เอเชียกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศลาวเวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ ศรีลังกา รวมทั้งไทยด้วย
แผนที่โลกที่แสดงถึงจุดภูมิศาสตร์แหล่งข้อมูลและหลักฐานธรรมกาย
ที่คณะนักวิจัยสถาบัน DIRI ปฏิบัติงานสำรวจภาคสนาม

     ต้องถือว่าคณะนักวิจัยสถาบันฯ เริ่มต้นทำงานโดยมีต้นทุนจากศูนย์ก็ว่าได้ แต่เราก็ขวนขวายเข้าพบกับผู้รู้ นักปราชญ์ ทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่มีความสามารถในการอ่านอักษรโบราณและทำงานในด้านการอนุรักษ์ปริวรรตคัมภีร์พุทธโบราณ และต่อมาได้ลงไปทำงานภาคสนามกับผู้เชี่ยวชาญอีกหลายท่านผลการศึกษาพบว่า เอกสารโบราณนั้นมีอยู่ ๓ ประเภท คือ ๑. ศิลาจารึก ๒. การบันทึกในคัมภีร์ใบลานหรือเปลือกไม้ ๓. วัสดุที่มีการจารึก ซึ่งไม่ใช่แบบประเภทที่ ๑ และ ๒ เช่น กระดาษ กระดาษข่อย หนังสือไทย พับสาทองคำ เงิน ฯลฯ

     ต่อมา เมื่อคณะทำงานมีการพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ในที่สุดก็มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) ขึ้นมา

     ราวปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๒ ผู้เขียนอาสาตนรับเป็นธุระเพื่อสานมโนปณิธาน โดยเริ่มจากการเชิญชวนอาสาสมัครที่มีความตั้งใจเช่นเดียวกันมาสร้างทีมงานดำเนินการ โดยนำคุณธรรม อิทธิบาท ๔ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะวิมังสา) ซึ่งเป็นวิธีการที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จ

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ๆ ที่สามารถสรุปได้จากงานเสวนาฯ ครั้งที่ ๓ นี้ ได้แก่

     ๑. ได้ทำการสำรวจและลงภาคสนามเพื่อการสืบค้นวิจัยรวมทั้งสิ้น ๒๒ ประเทศ

     ๒. ได้สร้างความสัมพันธ์กับนักวิชาการพระพุทธศาสนาและลงนามสัญญาร่วมมือทางวิชาการ รวม ๑๒ องค์กร/ประเทศ

     ๓. ได้ความรู้และหลักฐาน โดยเฉพาะร่องรอยเกี่ยวกับธรรมกายจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมถึง ๑๑ ประเทศ (แต่ก็ทราบว่ายังมีแหล่งข้อมูลชั้นปฐมภูมิอยู่อีกหลายประเทศที่คณะของเรายังศึกษาไม่ละเอียด)

     สำหรับปีนี้ทางสถาบันฯ ได้รวบรวมผลงานวิจัยที่ได้ข้อมูลหลักฐานเพิ่มขึ้น และนำมาจัดพิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทาน ประกอบกับสูจิบัตรปีนี้มีข้อความเนื้อหา สรุปถาม-ตอบเรื่องธรรมกาย ที่ล้วนเป็นสาระสำคัญ เป็นอรรถเป็นธรรม มีหลักฐานบ่งชัดเจน เมื่ออ่านศึกษาอย่างละเอียดแล้วสามารถนำไปขยายผลให้สาธารณชนในวงกว้างได้รับทราบความรู้แท้จริงนี้สืบไป

     คณะนักวิจัยสถาบัน DIRI พร้อมด้วยคณะกรรมการที่ปรึกษาและอุปถัมภ์ รวมทั้งผู้สนับสนุนโครงการมาด้วยดี ขอพร้อมใจกันนำความสำเร็จในการจัดงานครั้งนี้ น้อมถวายบูชาธรรมให้เป็นพลวปัจจัยส่งผลให้พระเดช-พระคุณพระเทพญาณมหามุนี วิ. (หลวงพ่อธัมมชโย) มีสุขภาพแข็งแรง อายุขัยยืนยาวปราศจากหมู่ภัยพาลทั้งสิ้น เป็นที่พึ่งและนำพาหมู่คณะ เหล่ากัลยาณมิตร และสรรพสัตว์ทั้งหลายสร้างบารมีมุ่งตรงต่อพระนิพพานจนถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ

     โปรดติดตามเรื่องที่น่าสนใจของการจัดเสวนาบูชาธรรมในฉบับต่อไป

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๒)

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๒)

เรื่อง : พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๙
 

      ผู้เขียนและคณะได้เรียบเรียงบทความที่สรุปโดยย่อ “เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา” ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงฉบับนี้ ยุคพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นับเป็นเวลา ๑ ปีพอดีที่ได้นำเสนอสู่สายตาของเหล่าสมาชิกผู้ใจบุญทุกท่าน และเชื่อว่าคงเกิดภาพและความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนและคณะต่างปลื้มปีติที่ได้ประมวลเรื่องราวดี ๆ นี้ แล้วนำเสนอแด่ทุกท่านเป็นธรรมทาน ในวาระมหามงคลที่จะมาถึงในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ คือวันวิสาขบูชา จึงถือเป็นการน้อมรำลึกถวายเป็นพุทธบูชาอีกด้วย

     ต่อจากฉบับที่แล้วที่กล่าวว่ามีการพบศิลาจารึกที่ใช้อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งมีเนื้อหา “กล่าวถึงการฉลองพระธาตุเจดีย์ที่สำคัญ ที่มีการทำบุญบูชาพระเจดีย์ด้วยดอกไม้ธูปเทียนแล้ว ก็มีการถวายภัตตาหาร รวมทั้งการเลี้ยงอาหารแก่บุคคลทั่วไปและที่สำคัญยังระบุชัดว่า มีการฟังพระธรรมเทศนาและการปฏิบัติธรรม ซึ่งทางผู้เขียนและคณะลงความเห็นว่า หากเนื้อหาจารึกที่กล่าวว่า“การปฏิบัติธรรมนั้นหมายรวมถึงการทำสมาธิ(Meditation) ภาวนา” แล้วก็เท่ากับว่าศิลาจารึกหลักดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานที่เก่าแก่ (พุทธศตวรรษที่ ๑๒) ซึ่งบ่งชัดให้เราได้ทราบว่ามีการทำสมาธิภาวนาแบบพระพุทธศาสนาในช่วงเวลานั้น ที่ภาคใต้ของประเทศไทย
 

จารึก เย ธัมมา... บนพระซุ้มศรีวิชัย อักษรปัลลวะภาษาสันสกฤต พระพิมพ์ดินเผา
พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ พบที่บริเวณวัดเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ที่มา http://thaibigplaza.com/img/18c/7a4/18c7a439c13d9c218bb9c8817c3555a8_0.jpg

     ส่วนคาถา เย ธัมมา.. ที่เขียนเป็นภาษาสันสกฤตด้วยอักษรปัลลวะนั้น หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญ คือจารึกบนพระซุ้มศรีวิชัย ซึ่งเป็นพระพิมพ์ดินเผา มีสัณฐานทรงกลมครึ่งซีก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ ซม. ด้านหน้ายกขอบโดยรอบ ภายในขอบเป็นรูปพระพุทธเจ้า รอบองค์พระปรากฏจารึกอักษรปัลลวะเขียนคาถา เย ธัมมา.. เป็นสองวงซ้อนบรรทัดกันลักษณะอักษรอยในช่วงพทุธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ พบพระพิมพ์ดังกล่าวกว่าสองพันองค์ที่ตำบลเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

     จากการขุดค้นเมืองโบราณยะรังในเขตจังหวัดปัตตานี พบพระสถูปจำลองและชิ้นส่วนแตกหักมากมาย ตัวอย่างจารึกสถูปจำลองดินเผาที่ค่อนข้างสมบูรณ์มีจารึกอักษรปัลลวะภาษา สันสกฤตเป็นคาถา เย ธัมมา.. และได้พบพระพิมพ์ดินดิบอีกเป็นจำนวนมาก ด้านหน้าเป็นพระพุทธรูปประดับด้วยเจดีย์ทั้ง ๒ ข้างข้างละองค์ กลุ่มจารึกและโบราณวัตถุเหล่านี้บ่งชี้ถึงการรับนับถือพระพุทธศาสนา นิกายเจติยวาทหรือไจติกะ อันเป็นสาขาของนิกายมหาสางฆิกะ
 

จารึก เย ธัมมา... บนพระสถูปดินเผาเมืองยะรัง
อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤตพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
ฐาน ๗.๕ ซม. ยอด ๒.๔ ซม. สูง ๑๑.๗ ซม.

     อักษรปัลลวะที่ปรากฏในจารึกโบราณในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ นั้น ต่อมาได้ประดิษฐ์เป็นอักษรมอญโบราณสายหนึ่ง ซึ่งพัฒนาต่อไปเป็นอักษรพม่า อักษรธรรมของล้านนา อักษรธรรมล้านช้าง และอักษรธรรมอีสาน และอีกสายหนึ่งพัฒนาเป็นอักษรขอมโบราณ ซึ่งเป็นต้นแบบของอักษรขอมในกัมพูชา อักษรขอมในไทย และอักษรไทย
 

จำลองอักษรจารึก รอบขอบฐานด้านนอก
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_image_detail.php?id=746

      หลักฐานทางพระพุทธศาสนาที่ใช้อักษรมอญโบราณ คือ ศิลาจารึกพระเจ้าสววาธิสิทธิ ๑ (วัดดอนแก้ว) จารึกด้วยภาษามอญโบราณและภาษาบาลี พบที่จังหวัดลำพูนซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางอาณาจักรหริภุญชัยมาก่อนเนื้อหาใน จารึกกล่าวถึงพระเจ้าสววาธิสิทธิกษัตริย์หริภุญชัย ทรงสถาปนาวัดเชตวันเมื่อพระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา และเมื่อพระชนมายุได้ ๓๑ พรรษา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างกุฏิและเสนาสนะแด่พระภิกษุสงฆ์ อีกทั้งให้จารพระไตรปิฎกไว้ และกล่าวถึงการสร้างพระเจดีย์ โดยพระเจ้าสววาธิสิทธิ พระชายา ๒ พระองค์พระบรมวงศานุวงศ์ และพระโอรส ซึ่งพระเจดีย์ที่สร้างมีจำนวน ๓ องค์ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดเชตวัน เรียงตามแนวจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก เมือ่ พระชนมายุได้๓๒ พรรษา เสด็จออกผนวชพร้อมพระราชโอรส ๒ พระองค์ โดยมีพระมหาเถระราชคุรุเป็นประธานในการผนวช
 

จารึกพระเจ้าสววาธิสิทธิ ๑ (วัดดอนแก้ว) อักษรมอญโบราณ ภาษามอญโบราณและบาลี
หินทรายรูปใบเสมา ทะเบียนวัตถุ ลพ.๑พบที่จังหวัดลำพูน พุทธศตวรรษที่ ๑๗
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/277_1.jpg

     จารึกหลักนี้แสดงว่า อาณาจักรหริภุญชัยนับถือปฏิบัติตามคติพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบเดียวกับที่ นับถือปฏิบัติกันในสังคมชาวมอญในพม่าและในพุกามสมัยพระเจ้าอโนรธาช่วงพุทธ ศตวรรษที่ ๑๗ ซึ่งมีคตินิยมที่พระมหากษัตริย์จะเสด็จออกผนวชชั่วคราว
 

คัมภีร์ใบลาน ธัมมกาย อักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยและบาลี

     ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมาสังคมทางภาคเหนือของไทยได้รักษาพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาไว้ใน ลักษณะคัมภีร์ใบลานที่จารด้วยอักษรธรรมล้านนา ซึ่งเก็บไว้ในอารามต่าง ๆ ทั่วทุกจังหวัด อย่างไรก็ตามวิทยาการการพิมพ์สมัยใหม่ได้เข้ามาแทนที่ทำให้คัมภีร์ใบลาน เสื่อมความนิยม ส่วนต้นฉบับก็ถูกลืมเลือนและเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา จึงควรแก่การสงวนไว้เพื่อการศึกษาความคิดและรักษาคลังปัญญาของบรรพชนอีกทางหนึ่งต่อไป
 

จารึกด่านประคำอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤต สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่าทรงประกอบด้วยพระธรรมกาย พระสัมโภคกาย และพระนิรมานกาย
พุทธศตวรรษที่ ๑๘ พบที่จังหวัดบุรีรัมย์ ภาพโดย ชะเอม แก้วคล้าย

     สำหรับอักษรขอมโบราณซึ่งพัฒนามาจากอักษรปัลลวะนั้น หลักฐานโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาได้แก่ ศิลาจารึกสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงเป็นกษัตริย์พุทธมามกะผู้ทรงเดชานุภาพของกัมพูชา ศิลาจารึกด่านประคำพบที่จังหวัดบุรีรัมย์ สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เนื้อความเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้ประกอบไปด้วยพระธรรมกาย พระสัมโภคกายและพระนิรมานกาย จากนั้นเป็นการกล่าวถึงพระราชภารกิจของพระองค์ในการสร้างพระพุทธรูปไวโรจน ชินเจ้า สร้างโรงพยาบาล (อโรคยศาลา) และจัดเจ้าหน้าที่เพื่อทำหน้าที่ประจำในโรงพยาบาล และกล่าวถึงรายการสิ่งของที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระราชทานไว้ประจำโรงพยาบาล จบลงด้วยการถวายพระพรแด่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
 

คัมภีร์ใบลานธัมมกายาทิ ฉบับเทพชุมนุม (รัชกาลที่ ๓) อักษรขอม - ไทย ภาษาบาลี

     นักโบราณคดีได้พบศิลาจารึกที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงจนเกือบจะเหมือนกัน เช่นศิลาจารึกด่านประคำอีกหลายจารึก ในประเทศไทยพบจารึกเมืองพิมาย (นม.๑๗) จารึกปราสาท (สร.๔) จารึกตาเมียนโตจ (สร.๑) จารึกสุรินทร์ ๒ (สร.๖) และยังพบจารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เช่นนี้อีกในกัมพูชาและลาว หลักฐานโบราณคดีเหล่านี้บ่งชี้ถึงพระเดชานุภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มหายานไปทั่วดินแดนต่าง ๆ ในกัมพูชา และภาคกลาง อีสาน ตะวันออก ตะวันตกของไทยรวมทั้งลาวบางส่วน

      ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมาดินแดนแถบภาคกลางของไทยได้เก็บรักษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ไว้ในรูปคัมภีร์อักษรขอม-ไทย ที่ปรับปรุงขึ้นให้เหมาะสมกับการเขียนภาษาไทย ส่วนในกัมพูชาใช้อักษรเขมร จนกระทั่งวิทยาการตะวันตกนำระบบการพิมพ์ด้วยเครื่องจักรเข้ามา ความรู้และประสบการณ์ในด้านพระพุทธศาสนาและวิทยาการสาขาต่าง ๆ ของบรรพชนที่สะสมมาเป็นศตวรรษก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสังคมเราจึงควรอนุรักษ์นำกลับมาศึกษาให้ได้ประโยชน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะความเข้าใจในคำสอนดั้งเดิมพระพุทธศาสนาให้เด่นชัดขึ้น
 
      ดังนั้นผู้เขียนและคณะนักวิจัยสถาบัน DIRI จึงขอปวารณาอุทิศตนทำหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นอย่างเต็มกำลัง เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านน้อมถวายเป็นพุทธบูชาสืบไป

วศิน อินทสระ. (๒๕๓๐). อธิบายมิลินทปัญหา, กรุงเทพฯ : สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย.
วัฒนไชย. (๒๕๓๖). มิลินทปัญหา : ธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่ม, อุทัยธานี : ม.ป.พ.
หม่องทิน อ่อง. เพ็ชรี สุมิตร แปล (๒๕๑๙). ประวัติศาสตร์พม่า. กรุงเทพฯ : โครงการตำราสังคมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย.
เอลซา ไชนุดิน. เพ็ชรี สุมิตร แปล (๒๕๕๒). ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย, กรุงเทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย.
Chaihara, Daigoro. (1996). Hindu-Buddhist Architecture in Southeast Asia. Leiden, New York : Köln:Brill
(p.84).
Hermann, Kulke; Rothermund D (2001). A History of India. Routledge. ISBN 0-415-32920-5.
Sen, Sailendra Nath. (1999). Ancient Indian History and Civilization. New Age International, p.445. ISBN
9788122411980.
Sri Chamanlal. (1960). Hindu America. Bharatiya Vidya Bhava.

http://www.dmc.tv/pages/ความรู้รอบตัว/หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ-ตอนที่-๑๒.html

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)

บทความพิเศษ
เรื่อง : พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม)
และคณะนักวิจัย DIRI
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ
(ตอนที่ ๑๑)
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)

        ผู้เขียนและคณะ ได้ค้นคว้าเรียบเรียงเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แสดงเหตุและปัจจัยในแต่ละช่วงเวลาและสถานที่ว่ามีเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้น ในลักษณะบทความอย่างย่อให้ได้สาระสำคัญในแต่ละยุคสมัย นับตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงฉบับที่ท่านทั้งหลายกำลังอ่านอยู่นี้ ทำให้เราได้เห็นภาพและมีความรู้ เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี อักษรศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวพุทธแต่ละยุคสมัย ซึ่งผู้เขียนและคณะนักวิจัย ของสถาบัน DIRI ก็ได้นำความรู้เหล่านั้นมาเป็นฐานข้อมูลหรือข้อมูลในการค้นคว้าวิจัยคำสอน ดั้งเดิม เพื่อจะไดท้าความจริง ให้ปรากฏเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนาต่อไป
         ในการนำเสนอสาระโดยย่อของประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง ๒,๖๐๐ ปี อย่างต่อเนื่องหลายฉบับจนถึงยุคปัจจุบัน ผู้เขียนขออนุโมทนากับท่านผู้อ่านที่ให้ความสนใจติดตามมาโดยตลอด และฉบับนี้ผู้เขียนก็ขอเสนอบทความต่อจากฉบับที่แล้ว
       การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจาก ศรีลังกาไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เจริญรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง แต่ภายหลังเกิดภัยสงครามจากอินเดียทำให้ชาวสิงหลต้องถอยร่นลงมาทางใต้ และทำได้เพียงการรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงไว้เท่านั้น ความสัมพันธ์กับประเทศชาวพุทธที่สำคัญครั้งหนึ่งที่ควรแก่การกล่าวไว้ คือ ในช่วง พ.ศ. ๒๐๑๙ คณะพระภิกษุจากพม่าตอนใต้ได้มารับการอุปสมบทที่ลังกา และ นำคัมภีร์ภาษาบาลีที่มีอยู่กลับไป จึงนับว่า ศรีลังกาเป็นต้นทางของพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่เผยแผ่สืบต่อกันมาช้านานในประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายศตวรรษ

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
ภาพเขียนฝาผนังเรื่องพิธีสถาปนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา
ที่มา http://static.naewna.com/uploads/userfiles/images/F_สถาปนาสยามวงศ์opt.jpg

 
        อย่างไรก็ตาม ศรีลังกาในยุคล่าอาณานิคมช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ต้องประสบกับภัยเบียดเบียนทางศาสนาจากโปรตุเกสและฮอลันดา ประกอบกับภัยสงครามภายในและทุพภิกขภัย ทำให้สถานการณ์ด้านพระพุทธศาสนาทรุดลงอย่างหนัก จนไม่เหลือพระสงฆ์พอจะทำอุปสมบทกรรมได้ เมื่อ พ.ศ.๒๒๙๓ สามเณรผู้ใหญ่ชื่อ สามเณรสรณังกร ได้ทูลขอให้พระเจ้ากิตติราชสิงหะ กษัตริย์ลังกาในขณะนั้น ส่งทูตมานิมนต์พระสงฆ์จากกรุงศรีอยุธยาไปฟื้นฟูสถานการณ์ด้านพุทธศาสนาที่ ลังกาทวีป พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนา พระอุบาลีเถระและพระสมณทูตไทยรวม ๑๐ รูป เดินทางมาทำการบรรพชาอุปสมบทแก่ชาวลังกา พร้อมกับเชิญคัมภีร์พุทธศาสนาจากกรุงศรีอยุธยามาด้วยจำนวนหนึ่ง
       ในการอุปสมบทที่เมืองแคนดี มีกุลบุตรชาวลังกาเข้ารับการอุปสมบทถึง ๓,๐๐๐ คน ซึ่งได้ตั้งเป็นคณะสงฆ์ นิกายสยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ ขึ้น ในช่วงระยะเดียวกันนั้นมีสามเณรลังกาอีกคณะหนึ่ง เดินทางไปขอรับการอุปสมบทในประเทศพม่า แล้วกลับมาตั้ง นิกายอมรปุระ นอกจากนั้นยังมีชาวลังกาอีกคณะหนึ่งเดินทางไปขออุปสมบทจากคณะสงฆ์เมืองมอญและกลับมาตั้ง นิกายรามัญ ขึ้น ทั้ง ๓ นิกายนี้ยังคงปรากฏสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกวงล้อธรรมจักร อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกข้อความ ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ ทะเบียนวัตถุ ลบ.๑๙ พบที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/20140724104150pJBR.jpg

 
    เมื่อศึกษาประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ประเทศไทยจากหลักฐาน โบราณคดีต่าง ๆ ที่จะได้แสดงต่อไป บ่งชี้ว่าสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนในเขตประเทศไทย เคยนับถือปฏิบัติพระพุทธศาสนามาแล้วหลายนิกาย ดินแดนนี้เป็นเบ้าหลอมและเป็นสถานที่คัดสรรคติความคิดของพระพุทธศาสนานิกาย ต่าง ๆ หลายยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่า หลักฐานทางโบราณคดีด้านพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด คือ ศิลาจารึกอักษรปัลลวะ1 ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ บ่งชี้ว่าพระพุทธศาสนาในเวลาดังกล่าวเผยแผ่เข้ามาจากอินเดียโดยตรง ศิลาจารึกอักษรปัลลวะภาษาบาลีแสดงความเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท ข้อความในจารึกส่วนใหญ่เป็นคาถาที่คัดลอกมาจากพระไตรปิฎก เช่น คาถา เย ธัมมา... ซึ่งเป็นคาถาที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสปริพาชก กล่าวโดยย่อถึงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโปรดอุปติสสปริพาชก ซึ่งต่อมาคือพระสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระศาสดา

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
ศิลาจารึก เย ธัมมา ๔ อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกคาถา เย ธัมมา... พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒
ทะเบียนวัตถุ นฐ.๕ พบที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/30_1.jpg

 
     นอกจากคาถา เย ธัมมา... แล้ว ยังพบศิลาจารึกที่มีคาถาบาลีบทอื่น ๆ เช่น ธัมมจักกัปปวัตนสูตรและปฏิจจสมุปบาท เป็น ต้น สถานที่ที่พบศิลาจารึกเหล่านี้กระจายอยู่แถบภาคกลางของประเทศไทยบริเวณ จังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ลพบุรี ชัยนาทซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทที่เผยแผ่มาจากอินเดียโดยตรงนั้น เป็นที่ยอมรับปฏิบัติกันในขอบเขตจำกัด ไม่ได้แพร่ไปไกลกว่าบริเวณจังหวัดดังกล่าวในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๔

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกโบราณสถานหมายเลข ๐๐๙๖ อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกข้อความในปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
และปฏิโลม พุทธศตวรรษ ๑๒–๑๔ พบที่โบราณสถานหมายเลข ๐๐๙๖ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
จังหวัดเพชรบูรณ์ 
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_image_detail.php?id=289

 
     ที่เมืองโบราณศรีเทพ นักโบราณคดีได้พบหลักฐานพระพุทธศาสนามหายาน กล่าวคือพระพิมพ์ดินเผาที่มีจารึกอักษรปัลลวะ ด้านหลังเป็นจารึกอักษรจีน อ่านว่า ภิกษุบุญ (ปี่ชิวเหวิน) ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นการสร้างพระพุทธรูปอุทิศให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามคติมหายาน โดยที่พระพุทธศาสนามหายานนี้เผยแผ่มาจากจีนและที่เมืองศรีเทพนี้ได้พบจารึก อักษรปัลลวะภาษาบาลีเช่นกัน จึงอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาทเป็นที่นับถือปฏิบัติพร้อม ๆ กันไปที่เมืองศรีเทพนี้

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกพระพิมพ์เมืองศรีเทพ (ด้านหน้า) ดินเผา สูง ๘.๕ เซนติเมตร ทะเบียนวัตถุ ลบ.๑๐ พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/20140825111142etSu.jpg

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกพระพิมพ์เมืองศรีเทพ (ด้านหลัง) ดินเผา สูง ๘.๕ เซนติเมตร ทะเบียนวัตถุ ลบ.๑๐ พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/201408251111588GhS.jpg

 
    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทางภาคใต้ของประเทศไทยพบศิลาจารึกที่ใช้อักษรปัลลวะภาษาสันสกฤตที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมีเนื้อหาในจารึกกล่าวถึงการฉลองพระธาตุเจดีย์ที่สำ คัญ ซึ่งมีการถวายภัตตาหารแก่คณะสงฆ์ พราหมณ์ และเลี้ยงบุคคลทั่วไปมีการฟังพระธรรมเทศนาและการปฏิบัติธรรมเพื่อ ฝึกอินทรีย์ไม่ขาดสักเวลา มีการบูชาพระเจดีย์ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ธงเพดาน จามรธงผ้าจีน รวมทั้งตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในงานด้วย
          หากการปฏิบัติธรรมหมายรวมถึงการทำ สมาธิภาวนา ศิลาจารึกนี้จะเป็นหลักฐานเก่าแก่ที่แสดงถึงการทำ สมาธิภาวนาแบบพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
ที่มา https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-E4Ad9DdtMXrImDSWtCGty3oNqH-2ec8Pm7Tg65gcj5Wb61ggFAmzCOh-CajLRWKMBwNT3gcmbVgJnY7BWX8aXfxL1RUIYw-7btL_nabAG8T-EO6iaBrHwGFkcvTRQZc5CEHZ8_wGLYoM/s1600/01_358.jpg

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกวัดมเหยงค์ อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤตพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ทะเบียนวัตถุ นศ.๑๐กล่าวถึงการฉลองพระมหาธาตุเจดีย์
การปฏิบัติพระธรรม พบที่วัดมเหยงคณ์ จ.นครศรีธรรมราช
ภาพโดย : ชะเอม แก้วคล้าย

 
      เรื่องเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนานี้ ผู้เขียนและคณะนักวิจัยจะนำ เสนอในฉบับต่อไป และเนื่องจากวันที่ ๒๒ เมษายนนี้ เป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์สถาปนา “สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย” (DIRI) ซึ่งในปีนี้ท่านมีอายุวัฒนมงคลได้ ๗๒ ปี พวกเราเหล่าลูกพระภิกษุ-สามเณร อุบาสก-อุบาสิกาที่เป็นคณะทำ งานวิจัยใน “โครงการสืบค้นวิจัยคำ สอนดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพื่อทำ ความจริงให้ปรากฏและเป็นทนายแก้ต่างพระพุทธศาสนาจะได้พร้อมใจกันแสดงความ กตัญญูประกาศพระคุณบูชาธรรมแด่พระเดช-พระคุณพระเทพญาณมหามุนี ด้วยการรวบรวมหลักฐานธรรมกายในเอกสารและคัมภีร์พุทธโบราณ และจัดงานเสวนาบูชาธรรม ๗๒ ปี พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนีเรื่อง “หลักฐานธรรมกาย ครั้งที่ ๓” ในวันที่๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐-๑๘.๐๐ น. ณ อาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี

      นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา ๓ สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนและคณะผู้บริหารสถาบันวิจัยฯเดินทางไปประชุมเพื่อปรึกษางานและสรุป ความก้าวหน้าในความร่วมมือทางวิชาการ ดังนี้
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๑. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และประชุมกับ Prof. Richard Salomon และคณะ
ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ ๒๖–๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๒. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และร่วมประชุมกับ Prof. Jens Erland Braarvig
และคณะ ที่มหาวิทยาลัยออสโล ประเทศนอร์เวย์ เมื่อ ๒-๓ มีนาคม ๒๕๕๙

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๓. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และร่วมประชุมกับ Dr.Raffaele Sammarco ที่สถาบันจิตวิทยา
และสมาธิ เมื่อ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองเทรวิโซ ประเทศอิตาลี

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๔. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และร่วมประชุมกับ Prof. Richard Gombrich
ที่ศูนย์พุทธศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เมื่อ ๘ มีนาคม ๒๕๕๙

    ผลการประชุมในทุกสถาบันมีความก้าวหน้าได้ผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและมีประสิทธิผลอย่างยิ่ง จึงขอถือโอกาสอนุโมทนาบุญกับท่านเหล่ากัลยาณมิตรผู้ใจบุญที่คอยให้กำ ลังใจสนับสนุนอุปถัมภ์ให้งานในโครงการฯ มีความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอเจริญพร


1 อักษรอินเดียใต้ พุทธศตวรรษที่ ๙-๑๒

http://www2.kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=3532

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๐)

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๐)

เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙
 

     ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาผู้เขียนและคณะได้ร่วมกิจกรรมงานสัมมนา เสนอผลงานวิจัยนานาชาติ ครั้งที่ ๗ ในหัวข้อ “ภูมิศาสตร์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา” ณ วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวงอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ซึ่งมีนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศกว่า ๑๕ ประเทศ ร่วมเสนอผลงานวิจัย บทความ และมีการบรรยายพิเศษที่น่าสนใจ โดยเอกอัครราชทูตบังกลาเทศประจำประเทศไทย Her Excellency Ms. Saida Muna Tasneem นำเสนอในหัวข้อ “แหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาในบังกลาเทศ” และมีการบรรยายที่น่าสนใจจากนักวิชาการอีกหลาย ๆ ท่าน ซึ่งทำให้เราได้รับทราบอย่างชัดเจนว่า ประเทศบังกลาเทศมีแหล่งข้อมูลปฐมภูมิที่ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ ๓ อีกด้วย

     การไปร่วมสัมมนาครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัยได้ ร่วมลงนามทำสัญญาความร่วมมือ (MOU) กับทางวิทยาลัยสงฆ์นครน่านฯ เฉลิมพระเกียรติฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และจากการลงนาม MOU นี้ ทำให้เรามีกิจกรรมร่วมกันหลายโครงการแต่เน่อื งจากผู้เขียนยังนำเสนอบทความเส้นทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่สิ้นสุด จึงจะขอนำเสนอผลงานที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทั้ง ๒ ฝ่ายในอนาคต ในโอกาสนี้ขอเสนอบทความต่อจากฉบับที่แล้ว ดังนี้

     การเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่กัมพูชาในพุทธศตวรรษที่ ๗-๑๔ นั้น ศาสนาสำคัญของชาวกัมพูชา คือ ศาสนาพราหมณ์ ส่วนพระพุทธศาสนาได้รับการนับถือในกลุ่มคนจำนวนน้อย ในครั้งนั้นจดหมายเหตุของจีนเรียกกัมพูชาว่าฟูนัน ซึ่งมีวัฒนธรรมที่รับแบบแผนทั้งด้านการปกครอง ศิลปะ การช่างและวิทยาการต่าง ๆ จากชาวอินเดีย ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๑
 

ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ
ระหว่างสถาบันวิจัยฯ กับวิทยาลัยสงฆ์นครน่านฯ
 
     พระเจ้าเกาณฑินยะชัยวรมัน กษัตริย์ฟูนัน ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา แม้ว่าอาณาจักรฟูนันนับถือศาสนาพราหมณ์เป็นหลักแต่พระพุทธศาสนาก็เจริญ รุ่งเรืองควบคู่กันไปพระภิกษุชาวฟูนันชื่อสังฆปาละ1เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระอภิธรรม ทรงความรู้แตกฉานในพระพุทธศาสนา ได้รับอาราธนาจากจักรพรรดิจีนให้เป็นผู้สอนธรรมะในราชสำนัก และแปลคัมภีร์วิมุตติมรรค2 ซึ่งแต่งโดยพระอุปติสสเถระเป็นภาษาจีน หลักฐานทางโบราณคดีด้านศาสนาที่เก่าแก่ของกัมพูชาคือ ศิลาจารึกที่วัดไพรเวียรใกล้เมืองวยาธปุระซึ่งระบุ พ.ศ. ๑๒๐๗ มีข้อความกล่าวถึงกษัตริย์สองพี่น้องที่บวชในพระพุทธศาสนา และจากบันทึกของพระสงฆ์จีนอี้จิง3 ผู้จาริกไปอินเดียทางเรือผ่าน ทะเลใต้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ กล่าวถึงดินแดนกัมพูชาในยุคนั้นว่า พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ในเมืองมีวัดทั่วไปทุกแห่ง ศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ชาวเมืองและเจ้านายนิยมบวชในพระพุทธศาสนา ทั้งกล่าวด้วยว่าดินแดนต่าง ๆ ในทะเลใต้นับถือปฏิบัติพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ รวมทั้งนิกายมูลสรรวาสติวาทซึ่งเป็นนิกายหินยานที่ใช้ภาษาสันสกฤตจารึกพระ ธรรมวินัย
 

เอกอัครราชทูตบังกลาเทศประจำประเทศไทย
Her Excellency Ms. Saida Muna Tasneem
กำลังอภิปรายในหัวข้อ “แหล่งโบราณคดี
ทางพระพุทธศาสนาในบังกลาเทศ”

     ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่นครธมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗4 ผู้ทรงอานุภาพพระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทรงสร้างวัดวาอารามพุทธสถาน ปราสาทต่าง ๆ ฝ่ายมหายาน และพระพุทธรูปจำนวนมากมาย ทรงสถาปนาปราสาทตาพรมให้เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ มีพระมหาเถระเป็นอาจารย์ใหญ่ อยู่ถึง ๑๘ องค์และอาจารย์รองลงมาถึง ๒,๗๔๐ องค์ ทรงให้ราชกุมารเสด็จไปศึกษาพุทธศาสนาเถรวาทที่ลังกา และผนวชที่วัดมหาวิหารในเกาะลังกา
 
พระสุธรรมญาณวิเทศกำลังนำเสนอบทความทางวิชาการในหัวข้อ “DIRI กับโครงการอนุรักษ์
คัมภีร์พุทธโบราณด้วยระบบดิจิทัล (Digitization)”

บรรยากาศพิธีเปิดงานสัมมนาเสนอผลงานวิจัยนานาชาติ ครั้งที่ ๗ ในหัวข้อ
“ภูมิศาสตร์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา”
 
     ในปลายยุคเมืองพระนคร ศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนามหายานเสื่อมถอยลง คงเหลือแต่พระพุทธศาสนาเถรวาทที่เจริญรุ่งเรือง และได้รับการนับถือจากผู้คนทุกระดับตั้งแต่กษัตริย์ลงไป
 
พระพุทธรูปก่อนเมืองพระนครพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒
ที่มา https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/236x/72/56/0a/72560aa6fef5d6e8bae0198dd01cbd7d.jpg




ปราสาทตาพรม เสียมราฐ กัมพูชา สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พุทธศตวรรษที่ ๑๘
ที่มา http://www.adirexphotogallery.com/images/photo_130760226283/13076031491290.jpg


พระเจดีย์ถูปาราม อนุราธปุระพุทธสถานแห่งแรกในศรีลังกา
สร้างโดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญที่ได้จากพระเจ้าอโศก
http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2015/12/thuparama.jpg

    ศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง คือ ศรีลังกา ในคราวที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระธรรมวินัยและส่งพระ เถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่าง ๆ รวม ๙ สาย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓ นั้น พระมหินทเถระได้มายังเกาะศรีลังกาของชาวสิงหลซึ่งปกครองโดยพระเจ้าเทวานัม ปิยติสสะพระองค์ทรงศรัทธาใน พระพุทธศาสนาและทรงอุทิศมหาเมฆวันอุทยานเป็นวัดถวายแด่พระภิกษุ มีชื่อว่าวัดมหาวิหาร พระพุทธศาสนาที่เข้าสู่ลังกาในยุคนี้ เป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทพระมหินทเถระทรงนำพระไตรปิฎกและอรรถกถาไปสู่ลังกา ด้วย ต่อมาพระนางอนุฬาเทวีมเหสีทรงปรารถนาจะอุปสมบทพร้อมด้วยสตรีบริวารจำนวนมาก
 

อภัยคีรี อนุราธปุระ ศรีลังกาพุทธศตวรรษที่ ๕
ที่มา http://www.aroi.com/html/content/ID140707154457/09_2.jpg
 
     พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะจึงทรงส่งคณะทูตไปทูลขอพระนางสังฆมิตตาเถรีจากพระ เจ้าอโศกให้มาเป็นอุปัชฌาย์อุปสมบทแก่สตรีชาวลังกาพระนางสังฆมิตตาเถรีซึ่ง เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอโศกทรงมาดังประสงค์ พร้อมกับทรงนำกิ่งพระศรีมหาโพธิ์มาที่ลังกาทวีปและทรงตั้งคณะภิกษุณีของลังกาขึ้นในครั้งนั้น

เมื่อพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะสวรรคตแล้ว กษัตริย์สิงหลและกษัตริย์ทมิฬทำ สงครามผลัดกันครองราชสมบัติในลังกาสืบมาอีก ๑๐ กว่าพระองค์ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๕ พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัย กษัตริย์สิงหล เสด็จขึ้นครองราชย์เหล่าพระภิกษุสงฆ์พิจารณาเห็นความไม่มั่นคงของเหตุการณ์ บ้านเมือง และเห็นว่าการทรงจำพระธรรมวินัยสืบอายุพระศาสนาอย่างที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ต่อไปนี้คงทำ ได้ยาก จึงร่วมกันสังคายนาพระธรรมวินัยแล้วจดจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พระธรรมวินัยฝ่ายเถรวาทจึงได้จารึกเป็นอักษรลงในใบลานไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่ นั้น จนเมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆษาจารย์เดินทางจากอินเดียมายังศรีลังกา และปริวรรตคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ (บาลี)
 

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากศรีลังกาไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘
(ภาพโดยชัชวาลย์ เสรีพุกกะณะ)

     ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๗ ลังกาเดือดร้อนวุ่นวายด้วยภัยสงครามจากอินเดียและความไม่สงบภายใน สถานการณ์ด้านพระศาสนาก็สั่นคลอนไปด้วย จนเมื่อพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ ทรงฟื้นฟูสถานการณ์ด้านศาสนาโดยทรงอาราธนาพระสงฆ์จากเมียนมาร์ให้กระทำ อุปสมบทกรรมในลังกา เมื่อพระโอรสเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑5 ทรงยังคณะสงฆ์ที่แตกแยกมานานให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาจนกระทั่งลังกาได้เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธ ศาสนาฝ่ายเถรวาท ปรากฏเกียรติคุณแพร่ไปทั่ว มีพระสงฆ์และนักปราชญ์เดินทางจากนานาประเทศใกล้เคียงมาสืบพระพุทธศาสนาใน ลังกา แล้วนำกลับไปเผยแผ่ในประเทศของตนเป็นอันมาก

     โปรดติดตามเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฉบับถัดไป และเนื่องจากปีนี้พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนีมีอายุวัฒนมงคลได้ ๗๒ ปี ทางคณะนักวิจัยของสถาบันฯ จึงตั้งใจบูชาธรรมด้วยการจัดเสวนาวิชาการในหัวข้อ “คำถาม - คำตอบธรรมกาย” ในวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ณ อาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง วัดพระธรรมกาย

1 พ.ศ. ๑๐๐๒-๑๐๖๕
2 วิมุตติมรรคเป็นคัมภีร์คู่กับคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์
3 義淨 หรือ 义净; pinyin: Yìjìng; Wade-Giles: I Ching (635-713 CE)
4 พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๒
5 พ.ศ. ๑๖๙๗-๑๗๓๐


http://www.dmc.tv/pages/ความรู้รอบตัว/หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ-ตอนที่-๑๐.html

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๙)

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๙)

เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙


     เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เขียนและคณะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมทางวิชาการและร่วมพิธีฉลองการ เปิดอาคารอเนกประสงค์ของวัดต้าฝอซื่อ ที่เมืองกว่างโจวสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจัดโดยภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น ร่วมกับวัดต้าฝอซื่อ ในการประชุมทางวิชาการนั้น มีการเสวนาบรรยายธรรมโดยพระมหาเถระคณาจารย์ฝ่ายปกครองรูปสำคัญของสาธารณรัฐ ประชาชนจีนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจคำสอนที่ถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้จริง ทั้งนี้ กิจกรรมการร่วมฉลองเปิดอาคารอเนกประสงค์ของวัดต้าฝอซื่อ และกิจกรรมการร่วมประชุมทางวิชาการนี้ ปรากฏว่ามีสาธุชนจำนวนมากหลั่งไหลมาร่วมพิธีกรรมอย่างล้นหลาม และต่างก็มีความปลื้มปีติใจโดยถ้วนหน้ากัน

     ในการนี้ ผู้เขียนและคณะมีโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนทัศนะและประสบการณ์ในการขยายงานพระพุทธศาสนาของ แต่ละพื้นที่ร่วมกับนักวิชาการระดับนานาชาติมากมาย ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า “มังกรตื่นแล้ว” (มังกร คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตื่นตัวขึ้นแล้วด้วยนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและ วัฒนธรรม ทำให้ชาวพุทธในจีนมีจำนวนมากขึ้น และทางวัดแต่ละแห่งก็ตั้งใจพัฒนาพระภิกษุสงฆ์ บุคลากร ให้เป็นเนื้อนาบุญ สืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป) ภาพที่เห็นคือ การมีนักวิชาการจากนานาประเทศเข้าร่วมประชุมและร่วมสัมมนากันถึงความสำคัญใน หัวข้อ“เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางทะเล”ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่าน มา พบว่าเป็นประเด็นที่นักวิจัยให้ความสนใจทำผลงานทางวิชาการด้านนี้น้อยมาก อย่างไรก็ดี จากการลงพื้นที่ภาคสนามของทีมงานสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) ในครั้งนี้ ทางสถาบัน DIRI ได้เล็งเห็นถึงทิศทางและทราบถึงข้อมูลการศึกษาวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการ สืบค้นหลักฐานคัมภีร์โบราณในดินแดนแถบนี้ รวมทั้งตลอด “เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางทะเล” ด้วย ซึ่งทางทีมงานจะได้ค้นคว้าวิจัยต่อไป
 
Prof. Lewis Lancaster ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัย
เส้นทางแพรไหมทางทะเล กำลังบรรยายในหัวข้อ
“เส้นทางแพรไหมทางทะเลและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา”

     ผู้เขียนขอเสนอเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว ซึ่งเป็นจังหวะที่คณะทำงานได้เข้าร่วมการประชุมทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องดังกล่าวพอดี

    สำหรับเส้นทางการเผยแผ่นั้นใช้เส้นทางการค้าขายเป็นหลัก ดังกล่าวไว้แล้วว่าพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ทางบกตามเส้นทางแพรไหมไปทางตะวันออกถึงประเทศจีน ส่วนการเผยแผ่ตามเส้นทางค้าขายทางทะเลนั้นพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปถึงอาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรต่าง ๆ ของสุวรรณภูมิ
 

     อาณาจักรศรีวิชัย1 เป็นมหาอำนาจทางทะเลตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ แผ่อิทธิพลครอบคลุมเกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา รวมไปถึงทางใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญมาแต่โบราณ พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาจากอินเดียตอนใต้ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โจฬะ และจากเบงกอลภายใต้การปกครองของราชวงศ์ปาละ ซึ่งทั้ง ๒ สาย ล้วนเป็นพระพุทธศาสนานิกายมหายาน วัชรยาน อาณาจักรศรีวิชัยได้ส่งพระภิกษุไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ส่วนทางเบงกอลก็ได้ส่งพระภิกษุเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และส่งช่างฝีมือเข้ามาสอนศิลปะวิทยาการด้วย พระราชาทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงบำรุงพุทธศาสนาในทุก ๆ ทาง พระพุทธศาสนาในอาณาจักรศรีวิชัยจึงเจริญรุ่งเรืองเต็มที่ เผยแผ่ไปทั่วหมู่เกาะอินโดนีเซียและอาณาจักรอื่นๆในเอเชียอาคเนย์ อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองอยู่ประมาณ ๖๐๐ ปี2 ได้พบหลักฐานโบราณคดีทางพระพุทธศาสนามากมาย ทั้งประติมากรรมใหญ่น้อย พระพิมพ์ดินดิบ ศิลาจารึก รวมถึงพุทธสถานขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เช่น จันทิ-ส่าหรี3 จันทิกาลาสัน4 จันทิปะวน5 จันทิเมนดุต6 ในเมืองยอกยาการ์ตาของเกาะชวา
 

     จากบันทึกการเดินทางที่มีชื่อเสียงของพระภิกษุจีนอี้จิง7 ใน พ.ศ. ๑๒๑๔8 ท่านได้ออกจากเมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง โดยเรือของชาวอาหรับมาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยที่ศรีโภคะแล้วพำนัก อยู่ ๒ เดือน ก่อนเดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทาขากลับท่านแวะพักที่ศรีวิชัยอีก ครั้งนานถึง ๖ ปี9 ระหว่างปี พ.ศ. ๑๒๓๒-๑๒๓๘ บันทึกของท่านกล่าวว่า เวลานั้นพระพุทธศาสนาเจริญมากในศรีวิชัย มีพระสงฆ์กว่าพันรูปในเมืองศรีโภคะล้วนแต่มุ่งมั่นต่อการศึกษาพระธรรมต่าง ๆ มีวินัยและพิธีกรรมเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกันในอินเดีย และแนะนำว่าพระสงฆ์จีนควรแวะพักศึกษาเตรียมตัวที่นั่นเสียก่อนสักปีสองปี จึงค่อยเดินทางไปศึกษาคัมภีร์ดั้งเดิมทางตะวันตกท่านได้บันทึกไว้อีกว่า พระราชาและผู้นำเกาะ
 

     ต่าง ๆ ในทะเลใต้ล้วนมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีจิตมุ่งต่อการสั่งสมบารมี ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า อาณาจักรศรีวิชัยเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลาช้านานในราว พุทธศตวรรษที่ ๑๔ ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล ชนชาวพม่าเริ่มมีกำลังเข้มแข็ง รวบรวมกันเป็นปึกแผ่น สามารถควบคุมเขตลุ่มน้ำเอยาวดี (อิรวดี) และซิตตาวน์ (สะโตง) รวมถึงเส้นทางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย และได้สร้างเมืองพุกามขึ้นเป็นศูนย์กลางอาณาจักรพุกาม
 

    ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในสมัยพระเจ้าอโนรธา10 กษัตริย์แห่งพุกามผู้ทรงพระปรีชา11 ศาสนา ของอาณาจักรในขณะนั้นเป็นการปนเปของหลักพระพุทธศาสนานิกายมหายานกับการ นับถืออำ นาจธรรมชาติแบบพื้นเมือง พระองค์ได้นิมนต์พระชินอรหันต์ ซึ่งเดินทางมาจากมอญ อาณาจักรที่รุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อแสดงธรรม เมื่อจบธรรมเทศนา พระเจ้าอโนรธาทรงเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก และทรงยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ทรงให้ประชาชนเลิกนับถือผีสางเทวดา ให้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ต่อมาพระองค์ทรงประสงค์จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไปอีก พระชินอรหันต์จึงแนะนำ ให้อัญเชิญพระไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุจากเมืองสะเทิม (สุธรรมวดี) มาไว้ที่พุกาม
 

     สมัยนั้น พระเจ้ามนุหา กษัตริย์มอญที่เมืองสะเทิม ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อพระเจ้าอโนรธาทรงส่งพระราชสาส์นพร้อมกับทูตมายังเมืองสะเทิมเพื่อขอพระ ไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุนั้นพระเจ้ามนุหาทรงปฏิเสธ พระเจ้าอโนรธาจึงทรงยกทัพประชิดเมืองสะเทิม เมื่อชนะศึกก็ทรงจับพระเจ้ามนุหาเป็นเชลยและอัญเชิญพระไตรปิฎกและพระบรม สารีริกธาตุกลับไปพุกาม พร้อมกับกวาดต้อนช่างฝีมือต่าง ๆ จากมอญไปด้วย พุกามจึงได้รับการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการจากมอญเป็นอย่างมาก พระเจ้าอโนรธาทรงสร้างพระมหาเจดีย์และประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาไว้ที่พระมหาธาตุเจดีย์ชเวซิกอง

     พระองค์ยังทรงมีอุปการะต่อพระพุทธศาสนาในศรีลังกา โดยทรงส่งกองทัพเข้าช่วยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ กู้อาณาจักรคืนจากพวกโจฬะที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ยังทรงส่งพระภิกษุออกไปอุปสมบทให้ชาวลังกาและตรวจสอบชำระพระไตรปิฎก ของพุกามกับพระไตรปิฎกของลังกา เพื่อความบริสุทธิ์ของพระธรรมคำสอนพุกามได้เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนา12 ในเวลานั้น ความมั่งคั่งของอาณาจักรสะท้อนให้เห็นได้ด้วยจำนวนพุทธสถานในเมืองพุกาม ประมาณ ๕,๐๐๐ แห่งซึ่งยังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

      ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลังกาได้ย้ายเมืองหลวงลงมาอยู่ที่โปลนนารุวะ13 พระเจ้าปรากรมพาหุทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทรงรวมคณะสงฆ์ที่เคยแยกเป็นคณะต่าง ๆ เข้าด้วยกัน พระสงฆ์ในลังกามีวินัยเป็นระเบียบเรียบร้อยเคร่งครัดดีขึ้นกว่าแต่ก่อนภาย ใต้ความเป็นเอกภาพเดียวกัน กิตติศัพท์จึงเลื่องลือขจรไปยังนานาประเทศ ลังกาได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระสงฆ์จากอาณาจักรต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่ลังกา ทางพม่ามีพระภิกษุมอญชื่อฉปัต ได้ไปอุปสมบทและศึกษาที่ลังกาถึง ๑๐ ปี เมื่อกลับมาได้ตั้งสำนักเรียนขึ้นที่เมืองพุกามและสร้างพระเจดีย์ที่เรียก กันว่าเจดีย์ฉปัต14 ตามอย่างเจดีย์ในลังกาสำนักของท่านแยกจากคณะสงฆ์เดิมในพุกามต่อมาในปี พ.ศ. ๑๘๓๑ อาณาจักรพุกามถูกกุบไลข่านจากมองโกลเข้าทำลาย รวมเวลาที่พุกามรุ่งเรืองอยู่ ๒๔๐ ปี

    ส่วนอาณาจักรมอญในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ศรีปิฎกธร ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระสงฆ์ในเมืองมอญได้แตกเป็น ๖ คณะใหญ่ มีความหย่อนยานในวัตรปฏิบัติขาดความเป็นเอกภาพในคณะสงฆ์ พระเจ้าธรรมเจดีย์ศรีปิฎกธรจึงทรงนิมนต์คณาจารย์จาก ๖ คณะใหญ่ไปอุปสมบทใหม่ในลังกา เพื่อสร้างความเสมอภาคและเป็นปึกแผ่นของสังฆมณฑล พระคณาจารย์ ๒๒ รูป พระอนุจรอีก ๒๒ รูป รวมเป็น ๔๔ รูป เดินทางไปลังกาเพื่ออุปสมบทใหม่ กษัตริย์ลังกาทรงอุปถัมภ์ด้วยดี ทรงจัดให้มีการอุปสมบทแก่พระสงฆ์มอญตามประสงค์ เมื่อคณะสงฆ์บวชใหม่กลับเมืองหงสาวดีแล้ว พระเจ้าธรรมเจดีย์ก็มีพระราชโองการให้พระสงฆ์ทั่วแผ่นดินสึกทั้งหมด แล้วอุปสมบทใหม่กับคณะสงฆ์ที่บวชจากลังกานั้น พระสงฆ์คณะใหม่นี้คือคณะกัลยาณี มีพระสงฆ์อุปสมบทกว่า ๑๕,๐๐๐ รูป ในครั้งนั้นคณะสงฆ์ในเมืองมอญ หงสาวดี จึงกลับมาเป็นปึกแผ่น ล้วนมีวัตรปฏิบัติตามอย่างคณะมหาวิหารในลังกา
 

      จากข้อมูลข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล้วนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานยิ่ง อีกทั้งกระบวนการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็มีความหลากหลาย นอกจากจะต้องอาศัยพระบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองในการทรงเป็นอัคร ศาสนูปถัมภกแล้ว ยังต้องอาศัยการแผ่ขยายทางวัฒนธรรมการศึกษา เศรษฐกิจ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมระหว่างกันของประชาชนด้วยอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับที่ปรากฏในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาบนเส้นทางแพรไหมทางทะเลดังที่ มีนักวิชาการคนสำคัญ ๆ ได้ศึกษาไว้

     ฉบับหน้าทางคณะทีมงานจะได้นำเสนอรายละเอียดการศึกษาวิจัย และการเก็บข้อมูลภาคสนามในเมืองกว่างโจวให้ทราบกันต่อไป
 
1 Srivijaya
2 ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๘๐๐
3 Candi Sari (Candi Bendah) Dusun Bendan, Tirtomartani village, Kalasan, Sleman regency, Yogyakarta.
4 Candi Kalasan (Candi Kalibening) Kalasan District of Sleman Regency, Yogyakarta.
5 Candi Pawon (Bajranalan) Yogyakarta, Central Java, Indonesia.
6 Candi Mendut, Mendut village, Mungkid sub-district, Magelang Regency, Central Java, Indonesia
7 義淨 หรือ 义净; pinyin: Yìjìng; Wade–Giles: I Ching ((635 -713 A.D.)
8 671 A.D.
9 689-695 A.D.
10 พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐
11 หม่องทินอ่อง, หน้า ๓๒
12 หม่องทินอ่อง, หน้า ๓๗
13 Polonnaruva
14 Sapada