เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๘

วันที่ ๙ กันยายนที่ผ่านมา ผู้เขียนและคณะนักวิจัยของสถาบันดีรี (DIRI) เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจในโครงการสืบค้นวิจัยคำสอนดั้งเดิม ณ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองซีแอตเทิลประเทศสหรัฐอเมริกา สืบเนื่องจากการลงนามสัญญาความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับทางสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย เพื่อร่วมประชุมกับ ศาสตราจารย์ริชาร์ด ซาโลมอน และศาสตราจารย์คอลเล็ต ค็อกซ์ กับคณะ เเละถือโอกาสไปส่ง ดร.ชนิดา จันทราศรีไศล
(อาจารย์ลูก)
หลังจากกลับมาพักฟื้นฟูสุขภาพจากการทุ่มเทมุ่งมั่นในงานวิจัยมาอย่างต่อ
เนื่องตลอดมาเป็นเวลานาน นับว่าเป็นบุคลากรหลักของสถาบันดีรีทีเดียว
ช่วงนี้เป็นช่วงปลายของการปิดภาคเรียนนักศึกษาเพิ่งจะทยอยกันกลับมาเตรียม ความพร้อมในเทอมต่อไป และยังเป็นฤดูใบไม้ร่วง (Fall) จึงทำให้เมืองซีแอตเทิลดูซบเซาไปบ้างอย่างไรก็ตาม คณะของเราอันมี ผู้เขียน, ศาสตราจารย์สุกัญญา สุดบรรทัด, ดร.ศิริพร ศิริขวัญชัย และ ดร.ชนิดา จันทราศรีไศลกลับ มีความกระตือรือร้นมาก แม้การเดินทางจะยาวไกลใช้เวลาเกือบ ๒๐ ชั่วโมง ต่างก็ยังมีความสดชื่นเบิกบาน ไม่มีใครรู้สึกเมาเครื่องบินยิ่งได้พบหมู่คณะลูกพระธัมฯ (พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี ผู้สถาปนาสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย หรือ Dhammachai International Research Institute) คือพระครูภาวนาวิเทศ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายซีเเอตเทิล และ พระปอเหม่า ธมฺมฐิโต ที่ร่วมสนับสนุนการทำงานวิจัย มาต้อนรับถึงสนามบินอย่างอบอุ่น และจัดที่พักดูแลความเป็นอยู่อำนวยความสะดวกอย่างดีมาก ก็ยิ่งมีความรู้สึกเบิกบาน จึงขอขอบคุณอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ด้วย
ผลของการประชุมสรุปว่า การดำเนินการวิจัยที่ผ่านมามีผลงานความก้าวหน้า และขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง อนึ่ง มหาวิทยาลัยนี้เป็นแหล่งที่มี ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Source) คือ คัมภีร์พุทธโบราณเก่าเเก่อายุถึง ๒,๐๐๐ ปีเป็นจำนวนมาก ที่รอคอยทีมงานสืบค้นวิจัยมาช่วยกันอ่านถอดความให้ปรากฏ ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้สถาปนาสถาบันฯ เคยกล่าวไว้ และมอบนโยบายให้หมู่คณะทุ่มเทศึกษาเเละอ่านคัมภีร์เหล่านั้นที่มีอยู่ให้รู้ เรื่องทั้งหมด เพื่อทำความจริงให้ปรากฏสู่สายตาชาวโลก และจะได้เป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกายสืบไป

อาคารที่เก็บข้อมูลปฐมภูมิ คือ คัมภีร์พุทธโบราณจำนวนมากที่รอการศึกษาและทำวิจัย

พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. มอบหนังสือ “สารัตถะศิลาจารึกในประเทศไทย” เล่มที่ ๒ และของที่ระลึก
แก่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยวอชิงตันเป็นธรรมบรรณาการ
สำหรับเรื่องที่มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกพ้นเขตชมพูทวีปไปสู่อาณาจักรต่าง ๆ รอบข้าง และประดิษฐานได้อย่างมั่นคง ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช โดยเฉพาะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าไปในโยนกประเทศและคันธาระนั้น ด้วยพุทธานุภาพจึงทำให้ มีการค้นพบหลักฐานคัมภีร์พุทธโบราณมากมาย ในเขตคันธาระเเละเอเชียกลางที่เมืองบามิยัน ฮัดดา กิลกิต เป็นต้น (ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศอัฟกานิสถานและประเทศปากีสถาน) ดังนั้นจึงเป็นโอกาสทองที่ นักวิจัยของสถาบันฯ ได้ทำการศึกษาสืบค้นวิจัยจากข้อมูลปฐมภูมิเหล่านั้นด้วย โดยอาศัยการสร้างความสัมพันธ์กับนักวิชาการอาวุโสที่มีชื่อเสียงระดับโลก จนเกิดความคุ้นเคยและไว้เนื้อเชื่อใจ (วิสฺสาสปรมา ญาติ.) ต่อมาจึงมีการลงนามสัญญาเพื่อความร่วมมือทางวิชาการจนถึงปัจจุบันนี้ซึ่งผู้ เขียนจะได้นำผลงานที่นักวิจัยของสถาบันฯได้ทำสำเร็จด้วยดีแล้วมานำเสนอใน ฉบับต่อไป

ทางมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ให้เกียรติยกย่องจารึกชื่อ “Dhammachai International Research Inst.” ไว้ภายใน “หอเกียรติคุณ”
ฉบับนี้ขอนำเสนอเรื่องราวของเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อจากฉบับที่
เเล้วโดยย้อนกลับมาในดินแดนพุทธภูมิ ในแถบรัฐมหาราษฎร์
ซึ่งยังมีหลักฐานความมั่นคงของพระพุทธศาสนาคงเหลือให้เห็น ได้แก่
กลุ่มถ้ำที่ดัดแปลงจากผาหินธรรมชาติเป็นพุทธสถาน เช่น ถ้ำอชันตา ถ้ำเอลโลลา
เป็นต้น
พุทธสถานถ้ำอชันตา 1 (Ajanta Caves) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๓๕๐
สมัยนั้นถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
จึงมีการเจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นกุฏิ
พุทธเจดีย์และสถานที่ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ ประดับด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง
เล่าเรื่องราวในพุทธประวัติและชาดกต่าง ๆ
ถ้ำที่ก่อสร้างในยุคแรก ๆ สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย
โดยเจาะหินเข้าไปเป็นห้องโถงโล่ง ๆ ใช้เป็นที่นั่งสนทนาธรรม
พร้อมกับเจาะเป็นห้องนอน ภายในมีเตียงหินห้องละ ๒ เตียง
ถ้ำอชันตาในยุคแรกยังไม่มีการแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูป

ถ้ำอชันตาหมายเลข ๙ พุทธศตวรรษที่ ๖
ที่มา http://sjoneall.net/big-galleries/india-2012-big/05-ajanta/slides/in12_021512470_j_r.jpg
ที่มา http://sjoneall.net/big-galleries/india-2012-big/05-ajanta/slides/in12_021512470_j_r.jpg

ภายในถ้ำอชันตาหมายเลข ๑๓ กุฏิพระสงฆ์ พุทธศตวรรษที่ ๕-๖
ที่มา http://www.shunya.net/Pictures/South%20India/Ajanta/AjantaCaves31.jpg

ภาพสลักแสดงพระสถูปพระเจ้าอโศกที่อมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๕-๖ พิพิธภัณฑ์ เชนไน อินเดีย
ที่มา http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/ce/Amaravati_Stupa_relief_at_Museum.jpg

เครื่องประกอบตกแต่งสถูปของพระมหาสถูป ศิลปะอมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๕-๖ พิพิธภัณฑ์เชนไน อินเดีย
ที่มา http://www.hoparoundindia.com/cityimages/andhra-pradesh/Amaravathi-Amaravati%20Museum-4.jpg
ถ้ำพุทธศาสนาลักษณะเรียบง่ายที่อชันตามีการสร้างเพิ่มเติมต่อมาอีกราว ๒๐๐
ปี จนถึงราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๖
ก็ไม่ปรากฏร่องรอยการสร้างวัดถ้ำเช่นนั้นอีก ต่อจากนั้นอีก ๔๐๐ ปี
จึงกลับมามีการสร้างวัดถ้ำอีกครั้งที่น่าสังเกต คือ
การสร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำดังกล่าวเพื่อสักการบูชาแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธ
เจ้า
สร้างขึ้นตามคตินิยมของฝ่ายมหายานจากการศึกษาภาพแกะสลักหินที่ยังคงอยู่
อย่างสมบูรณ์ภายในถ้ำนี้
ทำให้นักวิชาการสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของพระพุทธศาสนาในอินเดียเป็นรูป
เป็นร่างได้มากขึ้น

ภาพสลักพระนาง
สิริมหามายาทรงพระครรภ์และมีพระประสูติกาลเจ้าชายสิทธัตถะ
ซึ่งแสดงด้วยสัญลักษณ์พระแท่นเปล่าห้อมล้อมด้วยท้าวมหาราชทั้งสี่ศิลปะ
อมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๕-๖ พิพิธภัณฑ์เชนไน อินเดีย
ที่มาhttps://s-media-cache-ak๐.pinimg.com/originals/55/1d/๐c/551d๐c14b72e4f085ab0774d485d9805.jpg

ภาพสลักพระพุทธเจ้าโปรดช้างนาฬาคิรีแสดงรูป พระพุทธเจ้ายกพระหัตถ์เหนือช้างตกมัน ศิลปะอมราวดียุคหลัง พุทธศตวรรษที่ ๙ พิพิธภัณฑ์เชนไน อินเดีย
ที่มา https://s-media-cache-ak0.pinimg.c o m / 7 3 6 x / b 5 / 0 8 / 2 4 / b 5 0 8 2 4 a c -030924064c3f354e7a13025a.jpg

ภาพสลักพิมพา
พิลาปและพระราหุลขอราชสมบัติ ในภาพแสดงพระพุทธเจ้าด้วยบัลลังก์เปล่า
พนักบัลลังก์มีสัญลักษณ์ไตรรัตน์ศิลปะอมราวดี พุทธศตวรรษที่ ๕-๖
พิพิธภัณฑ์เชนไน อินเดีย
ที่มา http://orias.berkeley.edu/visuals/buddha/11_lg.jpg
ที่มา http://orias.berkeley.edu/visuals/buddha/11_lg.jpg
ทางตอนล่างด้านตะวันออกของอินเดียในแถบลุ่มแม่น้ำกฤษณะและแม่น้ำโคทาวรีพระ
พุทธศาสนาได้ประดิษฐานอย่างมั่นคงในเมืองอมราวดี 2
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์สตวาหนะ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๔-๘
เมืองอมราวดีเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคนี้
หลักฐานทางโบราณคดีที่เหลืออยู่ชี้ให้เห็นว่า ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๕-๖
ภาพสลักที่แสดงถึงพระพุทธเจ้ามักแสดงด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ
ที่ไม่ใช่พระพุทธรูป เช่น ดอกบัว ธรรมจักร สถูป ต้นโพธิ์
หรือบัลลังก์หลังจากนั้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๗-๘
จึงเริ่มนิยมแสดงถึงพระพุทธเจ้าด้วยพระพุทธรูป
พระภิกษุเสวียนจั้ง3 หรือพระถังซำจั๋งได้เดินทางมาถึงเมืองอมราวดีใน พ.ศ.
๑๑๘๓4และได้พักศึกษาพระอภิธรรมและบันทึกถึงความรุ่งเรืองของสถาปัตยกรรมพุทธ
ศาสนาของดินแดนดังกล่าวเอาไว้
หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์สตวาหนะแล้ว ราชวงศ์อานธรอิกศวากุ5
ได้ปกครองดินแดนแถบนี้ระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๘ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๙
โดยตั้งเมืองหลวงที่เมืองวิชัยปุระหรือนาคารชุนโกณฑะ6
สมาชิกฝ่ายสตรีในราชวงศ์นี้เป็นพุทธมามกะได้สร้างวิหารเทวีและวิหารสิงหล7
ให้เป็นอาสนสถานของพระสงฆ์จากลังกา และสร้างชัยตยฆระ8
ถวายแด่ฝ่ายพระเถรีจากลังกาความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาของลังกาและอินเดีย
แถบอานธรประเทศในยุคนี้มีความใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก
ต่อมาราชวงศ์ปัลลวะเข้ามาครอบครองดินแดนภาคใต้ของอินเดียในช่วงพุทธศตวรรษ
ที่ ๙ ถึง ๑๕ มีเมืองกาญจิปุรัม9 เป็นเมืองหลวงในตอนบน และเมืองมทุไร10
เป็นเมืองหลวงในตอนล่างของอาณาจักร11 ในทำเนียบกษัตริย์ของราชวงศ์ปัลลวะ
ซึ่งต้นราชวงศ์นับถือศาสนาพุทธ12 มีกษัตริย์ทรงพระนามว่าพุทธวรมัน
ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๕๓ - ๑๑๕๓13 พระเจ้านรสิงหวรมันที่ ๑
ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๑๗๓-๑๒๑๑14
พระภิกษุจีนเสวียนจั้งหรือพระถังซำจั๋งได้จาริกมาถึงเมืองกาญจิปุรัม
ท่านบันทึกไว้ว่ามีอารามในพระพุทธศาสนา ๑๐๐ แห่ง และมีพระสงฆ์กว่าพันรูป
นักปราชญ์สำคัญในศาสนาพุทธหลายท่านก็อาศัยอยู่ที่กาญจิปุรัมนี้
เช่นพระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมปาละ หลังจากราชวงศ์ปัลลวะแล้ว
พระพุทธศาสนายังคงอยู่ในดินแดนแถบรัฐทมิฬนาฑูต่อไปจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐
สิ่งที่ควรค่าแก่การทราบไว้ประการหนึ่ง คือ
ในราชวงศ์ปัลลวะนี้มีระบบอักษรชนิดหนึ่งพัฒนาขึ้นจากอักษรพราหมี
เป็นที่รู้จักกันในชื่ออักษรปัลลวะ ได้มีการใช้ภาษา15
และอักษรปัลลวะบันทึกถ่ายทอดพระพุทธประวัติในราวพุทธ-ศตวรรษที่ ๑๑-๑๒
ซึ่งต่อมาพุทธประวัติฉบับนี้ได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นภาษาอาหรับ ซีเรีย กรีก
ฮิบรู เอธิโอเปีย อาร์เมเนีย และละติน16

พุทธสถานถวายแด่พระสงฆ์จากลังกา นาคารชุนโกณฑะอานธรประเทศ อินเดีย พุทธศตวรรษที่ ๘-๙
ที่มา http://www.ixigo.com/nagarjunakonda-buddhiststupas-andhra-pradesh-india-ne-3019462
ที่มา http://www.ixigo.com/nagarjunakonda-buddhiststupas-andhra-pradesh-india-ne-3019462
นอกจากนี้อักษรปัลลวะยังเป็นอักษรชนิดแรกที่ดินแดนสุวรรณภูมิรับมาใช้ในการ
จารึกบนหลักศิลาจารึกโบราณต่าง ๆ ทั้งจารึกในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์
พบว่าเริ่มใช้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒
เป็นต้นมาอักษรปัลลวะนี้ได้เป็นต้นแบบอักษรต่าง ๆ เช่นอักษรชวา กวิ มอญ
พม่า เขมร อักษรธรรมล้านนา อักษรไทย ลาว ไทยลื้อ ฯลฯ
โบราณวัตถุรวมถึงศิลาจารึกคาถาในพระพุทธศาสนาทั้งภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต
ปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐาน
สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตลอดฝั่งทะเลอันดามัน
และอ่าวไทยตามเส้นทางการค้าขายในยุคพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ นี้อย่างชัดเจน
เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังมีเนื้อหามากมายอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ผู้เขียนจะทยอยนำมาเสนอให้ทราบในฉบับต่อ
ๆ ไป พร้อมกับจะนำผลงานของนักวิจัยสถาบันฯ ที่ค้นพบหลักฐานคำสอนดั้งเดิม
ร่องรอยธรรมกายจากหลายแหล่งตามเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้ง
พุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันมานำเสนอด้วย
http://www.kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=3370
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น