วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)

บทความพิเศษ
เรื่อง : พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม)
และคณะนักวิจัย DIRI
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ
(ตอนที่ ๑๑)
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)

        ผู้เขียนและคณะ ได้ค้นคว้าเรียบเรียงเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แสดงเหตุและปัจจัยในแต่ละช่วงเวลาและสถานที่ว่ามีเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้น ในลักษณะบทความอย่างย่อให้ได้สาระสำคัญในแต่ละยุคสมัย นับตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงฉบับที่ท่านทั้งหลายกำลังอ่านอยู่นี้ ทำให้เราได้เห็นภาพและมีความรู้ เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี อักษรศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวพุทธแต่ละยุคสมัย ซึ่งผู้เขียนและคณะนักวิจัย ของสถาบัน DIRI ก็ได้นำความรู้เหล่านั้นมาเป็นฐานข้อมูลหรือข้อมูลในการค้นคว้าวิจัยคำสอน ดั้งเดิม เพื่อจะไดท้าความจริง ให้ปรากฏเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนาต่อไป
         ในการนำเสนอสาระโดยย่อของประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง ๒,๖๐๐ ปี อย่างต่อเนื่องหลายฉบับจนถึงยุคปัจจุบัน ผู้เขียนขออนุโมทนากับท่านผู้อ่านที่ให้ความสนใจติดตามมาโดยตลอด และฉบับนี้ผู้เขียนก็ขอเสนอบทความต่อจากฉบับที่แล้ว
       การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจาก ศรีลังกาไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เจริญรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง แต่ภายหลังเกิดภัยสงครามจากอินเดียทำให้ชาวสิงหลต้องถอยร่นลงมาทางใต้ และทำได้เพียงการรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงไว้เท่านั้น ความสัมพันธ์กับประเทศชาวพุทธที่สำคัญครั้งหนึ่งที่ควรแก่การกล่าวไว้ คือ ในช่วง พ.ศ. ๒๐๑๙ คณะพระภิกษุจากพม่าตอนใต้ได้มารับการอุปสมบทที่ลังกา และ นำคัมภีร์ภาษาบาลีที่มีอยู่กลับไป จึงนับว่า ศรีลังกาเป็นต้นทางของพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่เผยแผ่สืบต่อกันมาช้านานในประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายศตวรรษ

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
ภาพเขียนฝาผนังเรื่องพิธีสถาปนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา
ที่มา http://static.naewna.com/uploads/userfiles/images/F_สถาปนาสยามวงศ์opt.jpg

 
        อย่างไรก็ตาม ศรีลังกาในยุคล่าอาณานิคมช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ต้องประสบกับภัยเบียดเบียนทางศาสนาจากโปรตุเกสและฮอลันดา ประกอบกับภัยสงครามภายในและทุพภิกขภัย ทำให้สถานการณ์ด้านพระพุทธศาสนาทรุดลงอย่างหนัก จนไม่เหลือพระสงฆ์พอจะทำอุปสมบทกรรมได้ เมื่อ พ.ศ.๒๒๙๓ สามเณรผู้ใหญ่ชื่อ สามเณรสรณังกร ได้ทูลขอให้พระเจ้ากิตติราชสิงหะ กษัตริย์ลังกาในขณะนั้น ส่งทูตมานิมนต์พระสงฆ์จากกรุงศรีอยุธยาไปฟื้นฟูสถานการณ์ด้านพุทธศาสนาที่ ลังกาทวีป พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนา พระอุบาลีเถระและพระสมณทูตไทยรวม ๑๐ รูป เดินทางมาทำการบรรพชาอุปสมบทแก่ชาวลังกา พร้อมกับเชิญคัมภีร์พุทธศาสนาจากกรุงศรีอยุธยามาด้วยจำนวนหนึ่ง
       ในการอุปสมบทที่เมืองแคนดี มีกุลบุตรชาวลังกาเข้ารับการอุปสมบทถึง ๓,๐๐๐ คน ซึ่งได้ตั้งเป็นคณะสงฆ์ นิกายสยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ ขึ้น ในช่วงระยะเดียวกันนั้นมีสามเณรลังกาอีกคณะหนึ่ง เดินทางไปขอรับการอุปสมบทในประเทศพม่า แล้วกลับมาตั้ง นิกายอมรปุระ นอกจากนั้นยังมีชาวลังกาอีกคณะหนึ่งเดินทางไปขออุปสมบทจากคณะสงฆ์เมืองมอญและกลับมาตั้ง นิกายรามัญ ขึ้น ทั้ง ๓ นิกายนี้ยังคงปรากฏสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกวงล้อธรรมจักร อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกข้อความ ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ ทะเบียนวัตถุ ลบ.๑๙ พบที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/20140724104150pJBR.jpg

 
    เมื่อศึกษาประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ประเทศไทยจากหลักฐาน โบราณคดีต่าง ๆ ที่จะได้แสดงต่อไป บ่งชี้ว่าสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนในเขตประเทศไทย เคยนับถือปฏิบัติพระพุทธศาสนามาแล้วหลายนิกาย ดินแดนนี้เป็นเบ้าหลอมและเป็นสถานที่คัดสรรคติความคิดของพระพุทธศาสนานิกาย ต่าง ๆ หลายยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่า หลักฐานทางโบราณคดีด้านพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด คือ ศิลาจารึกอักษรปัลลวะ1 ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ บ่งชี้ว่าพระพุทธศาสนาในเวลาดังกล่าวเผยแผ่เข้ามาจากอินเดียโดยตรง ศิลาจารึกอักษรปัลลวะภาษาบาลีแสดงความเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท ข้อความในจารึกส่วนใหญ่เป็นคาถาที่คัดลอกมาจากพระไตรปิฎก เช่น คาถา เย ธัมมา... ซึ่งเป็นคาถาที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสปริพาชก กล่าวโดยย่อถึงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโปรดอุปติสสปริพาชก ซึ่งต่อมาคือพระสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระศาสดา

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
ศิลาจารึก เย ธัมมา ๔ อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกคาถา เย ธัมมา... พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒
ทะเบียนวัตถุ นฐ.๕ พบที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/30_1.jpg

 
     นอกจากคาถา เย ธัมมา... แล้ว ยังพบศิลาจารึกที่มีคาถาบาลีบทอื่น ๆ เช่น ธัมมจักกัปปวัตนสูตรและปฏิจจสมุปบาท เป็น ต้น สถานที่ที่พบศิลาจารึกเหล่านี้กระจายอยู่แถบภาคกลางของประเทศไทยบริเวณ จังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ลพบุรี ชัยนาทซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทที่เผยแผ่มาจากอินเดียโดยตรงนั้น เป็นที่ยอมรับปฏิบัติกันในขอบเขตจำกัด ไม่ได้แพร่ไปไกลกว่าบริเวณจังหวัดดังกล่าวในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๔

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกโบราณสถานหมายเลข ๐๐๙๖ อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกข้อความในปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
และปฏิโลม พุทธศตวรรษ ๑๒–๑๔ พบที่โบราณสถานหมายเลข ๐๐๙๖ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
จังหวัดเพชรบูรณ์ 
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_image_detail.php?id=289

 
     ที่เมืองโบราณศรีเทพ นักโบราณคดีได้พบหลักฐานพระพุทธศาสนามหายาน กล่าวคือพระพิมพ์ดินเผาที่มีจารึกอักษรปัลลวะ ด้านหลังเป็นจารึกอักษรจีน อ่านว่า ภิกษุบุญ (ปี่ชิวเหวิน) ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นการสร้างพระพุทธรูปอุทิศให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามคติมหายาน โดยที่พระพุทธศาสนามหายานนี้เผยแผ่มาจากจีนและที่เมืองศรีเทพนี้ได้พบจารึก อักษรปัลลวะภาษาบาลีเช่นกัน จึงอาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาทเป็นที่นับถือปฏิบัติพร้อม ๆ กันไปที่เมืองศรีเทพนี้

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกพระพิมพ์เมืองศรีเทพ (ด้านหน้า) ดินเผา สูง ๘.๕ เซนติเมตร ทะเบียนวัตถุ ลบ.๑๐ พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/20140825111142etSu.jpg

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกพระพิมพ์เมืองศรีเทพ (ด้านหลัง) ดินเผา สูง ๘.๕ เซนติเมตร ทะเบียนวัตถุ ลบ.๑๐ พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔
ที่มา http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/uploads/images/201408251111588GhS.jpg

 
    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทางภาคใต้ของประเทศไทยพบศิลาจารึกที่ใช้อักษรปัลลวะภาษาสันสกฤตที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมีเนื้อหาในจารึกกล่าวถึงการฉลองพระธาตุเจดีย์ที่สำ คัญ ซึ่งมีการถวายภัตตาหารแก่คณะสงฆ์ พราหมณ์ และเลี้ยงบุคคลทั่วไปมีการฟังพระธรรมเทศนาและการปฏิบัติธรรมเพื่อ ฝึกอินทรีย์ไม่ขาดสักเวลา มีการบูชาพระเจดีย์ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ธงเพดาน จามรธงผ้าจีน รวมทั้งตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในงานด้วย
          หากการปฏิบัติธรรมหมายรวมถึงการทำ สมาธิภาวนา ศิลาจารึกนี้จะเป็นหลักฐานเก่าแก่ที่แสดงถึงการทำ สมาธิภาวนาแบบพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
ที่มา https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-E4Ad9DdtMXrImDSWtCGty3oNqH-2ec8Pm7Tg65gcj5Wb61ggFAmzCOh-CajLRWKMBwNT3gcmbVgJnY7BWX8aXfxL1RUIYw-7btL_nabAG8T-EO6iaBrHwGFkcvTRQZc5CEHZ8_wGLYoM/s1600/01_358.jpg

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
จารึกวัดมเหยงค์ อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤตพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ทะเบียนวัตถุ นศ.๑๐กล่าวถึงการฉลองพระมหาธาตุเจดีย์
การปฏิบัติพระธรรม พบที่วัดมเหยงคณ์ จ.นครศรีธรรมราช
ภาพโดย : ชะเอม แก้วคล้าย

 
      เรื่องเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนานี้ ผู้เขียนและคณะนักวิจัยจะนำ เสนอในฉบับต่อไป และเนื่องจากวันที่ ๒๒ เมษายนนี้ เป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์สถาปนา “สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย” (DIRI) ซึ่งในปีนี้ท่านมีอายุวัฒนมงคลได้ ๗๒ ปี พวกเราเหล่าลูกพระภิกษุ-สามเณร อุบาสก-อุบาสิกาที่เป็นคณะทำ งานวิจัยใน “โครงการสืบค้นวิจัยคำ สอนดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพื่อทำ ความจริงให้ปรากฏและเป็นทนายแก้ต่างพระพุทธศาสนาจะได้พร้อมใจกันแสดงความ กตัญญูประกาศพระคุณบูชาธรรมแด่พระเดช-พระคุณพระเทพญาณมหามุนี ด้วยการรวบรวมหลักฐานธรรมกายในเอกสารและคัมภีร์พุทธโบราณ และจัดงานเสวนาบูชาธรรม ๗๒ ปี พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนีเรื่อง “หลักฐานธรรมกาย ครั้งที่ ๓” ในวันที่๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐-๑๘.๐๐ น. ณ อาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี

      นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา ๓ สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนและคณะผู้บริหารสถาบันวิจัยฯเดินทางไปประชุมเพื่อปรึกษางานและสรุป ความก้าวหน้าในความร่วมมือทางวิชาการ ดังนี้
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๑. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และประชุมกับ Prof. Richard Salomon และคณะ
ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ ๒๖–๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๒. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และร่วมประชุมกับ Prof. Jens Erland Braarvig
และคณะ ที่มหาวิทยาลัยออสโล ประเทศนอร์เวย์ เมื่อ ๒-๓ มีนาคม ๒๕๕๙

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๓. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และร่วมประชุมกับ Dr.Raffaele Sammarco ที่สถาบันจิตวิทยา
และสมาธิ เมื่อ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองเทรวิโซ ประเทศอิตาลี

 
หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๑)
๔. แรกลงนาม MOU เมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และร่วมประชุมกับ Prof. Richard Gombrich
ที่ศูนย์พุทธศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เมื่อ ๘ มีนาคม ๒๕๕๙

    ผลการประชุมในทุกสถาบันมีความก้าวหน้าได้ผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและมีประสิทธิผลอย่างยิ่ง จึงขอถือโอกาสอนุโมทนาบุญกับท่านเหล่ากัลยาณมิตรผู้ใจบุญที่คอยให้กำ ลังใจสนับสนุนอุปถัมภ์ให้งานในโครงการฯ มีความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอเจริญพร


1 อักษรอินเดียใต้ พุทธศตวรรษที่ ๙-๑๒

http://www2.kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=3532

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๐)

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๑๐)

เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙
 

     ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาผู้เขียนและคณะได้ร่วมกิจกรรมงานสัมมนา เสนอผลงานวิจัยนานาชาติ ครั้งที่ ๗ ในหัวข้อ “ภูมิศาสตร์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา” ณ วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวงอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ซึ่งมีนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศกว่า ๑๕ ประเทศ ร่วมเสนอผลงานวิจัย บทความ และมีการบรรยายพิเศษที่น่าสนใจ โดยเอกอัครราชทูตบังกลาเทศประจำประเทศไทย Her Excellency Ms. Saida Muna Tasneem นำเสนอในหัวข้อ “แหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาในบังกลาเทศ” และมีการบรรยายที่น่าสนใจจากนักวิชาการอีกหลาย ๆ ท่าน ซึ่งทำให้เราได้รับทราบอย่างชัดเจนว่า ประเทศบังกลาเทศมีแหล่งข้อมูลปฐมภูมิที่ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ ๓ อีกด้วย

     การไปร่วมสัมมนาครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัยได้ ร่วมลงนามทำสัญญาความร่วมมือ (MOU) กับทางวิทยาลัยสงฆ์นครน่านฯ เฉลิมพระเกียรติฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และจากการลงนาม MOU นี้ ทำให้เรามีกิจกรรมร่วมกันหลายโครงการแต่เน่อื งจากผู้เขียนยังนำเสนอบทความเส้นทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่สิ้นสุด จึงจะขอนำเสนอผลงานที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทั้ง ๒ ฝ่ายในอนาคต ในโอกาสนี้ขอเสนอบทความต่อจากฉบับที่แล้ว ดังนี้

     การเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่กัมพูชาในพุทธศตวรรษที่ ๗-๑๔ นั้น ศาสนาสำคัญของชาวกัมพูชา คือ ศาสนาพราหมณ์ ส่วนพระพุทธศาสนาได้รับการนับถือในกลุ่มคนจำนวนน้อย ในครั้งนั้นจดหมายเหตุของจีนเรียกกัมพูชาว่าฟูนัน ซึ่งมีวัฒนธรรมที่รับแบบแผนทั้งด้านการปกครอง ศิลปะ การช่างและวิทยาการต่าง ๆ จากชาวอินเดีย ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๑
 

ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ
ระหว่างสถาบันวิจัยฯ กับวิทยาลัยสงฆ์นครน่านฯ
 
     พระเจ้าเกาณฑินยะชัยวรมัน กษัตริย์ฟูนัน ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา แม้ว่าอาณาจักรฟูนันนับถือศาสนาพราหมณ์เป็นหลักแต่พระพุทธศาสนาก็เจริญ รุ่งเรืองควบคู่กันไปพระภิกษุชาวฟูนันชื่อสังฆปาละ1เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระอภิธรรม ทรงความรู้แตกฉานในพระพุทธศาสนา ได้รับอาราธนาจากจักรพรรดิจีนให้เป็นผู้สอนธรรมะในราชสำนัก และแปลคัมภีร์วิมุตติมรรค2 ซึ่งแต่งโดยพระอุปติสสเถระเป็นภาษาจีน หลักฐานทางโบราณคดีด้านศาสนาที่เก่าแก่ของกัมพูชาคือ ศิลาจารึกที่วัดไพรเวียรใกล้เมืองวยาธปุระซึ่งระบุ พ.ศ. ๑๒๐๗ มีข้อความกล่าวถึงกษัตริย์สองพี่น้องที่บวชในพระพุทธศาสนา และจากบันทึกของพระสงฆ์จีนอี้จิง3 ผู้จาริกไปอินเดียทางเรือผ่าน ทะเลใต้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ กล่าวถึงดินแดนกัมพูชาในยุคนั้นว่า พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ในเมืองมีวัดทั่วไปทุกแห่ง ศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ชาวเมืองและเจ้านายนิยมบวชในพระพุทธศาสนา ทั้งกล่าวด้วยว่าดินแดนต่าง ๆ ในทะเลใต้นับถือปฏิบัติพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ รวมทั้งนิกายมูลสรรวาสติวาทซึ่งเป็นนิกายหินยานที่ใช้ภาษาสันสกฤตจารึกพระ ธรรมวินัย
 

เอกอัครราชทูตบังกลาเทศประจำประเทศไทย
Her Excellency Ms. Saida Muna Tasneem
กำลังอภิปรายในหัวข้อ “แหล่งโบราณคดี
ทางพระพุทธศาสนาในบังกลาเทศ”

     ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่นครธมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗4 ผู้ทรงอานุภาพพระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทรงสร้างวัดวาอารามพุทธสถาน ปราสาทต่าง ๆ ฝ่ายมหายาน และพระพุทธรูปจำนวนมากมาย ทรงสถาปนาปราสาทตาพรมให้เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ มีพระมหาเถระเป็นอาจารย์ใหญ่ อยู่ถึง ๑๘ องค์และอาจารย์รองลงมาถึง ๒,๗๔๐ องค์ ทรงให้ราชกุมารเสด็จไปศึกษาพุทธศาสนาเถรวาทที่ลังกา และผนวชที่วัดมหาวิหารในเกาะลังกา
 
พระสุธรรมญาณวิเทศกำลังนำเสนอบทความทางวิชาการในหัวข้อ “DIRI กับโครงการอนุรักษ์
คัมภีร์พุทธโบราณด้วยระบบดิจิทัล (Digitization)”

บรรยากาศพิธีเปิดงานสัมมนาเสนอผลงานวิจัยนานาชาติ ครั้งที่ ๗ ในหัวข้อ
“ภูมิศาสตร์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา”
 
     ในปลายยุคเมืองพระนคร ศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนามหายานเสื่อมถอยลง คงเหลือแต่พระพุทธศาสนาเถรวาทที่เจริญรุ่งเรือง และได้รับการนับถือจากผู้คนทุกระดับตั้งแต่กษัตริย์ลงไป
 
พระพุทธรูปก่อนเมืองพระนครพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒
ที่มา https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/236x/72/56/0a/72560aa6fef5d6e8bae0198dd01cbd7d.jpg




ปราสาทตาพรม เสียมราฐ กัมพูชา สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พุทธศตวรรษที่ ๑๘
ที่มา http://www.adirexphotogallery.com/images/photo_130760226283/13076031491290.jpg


พระเจดีย์ถูปาราม อนุราธปุระพุทธสถานแห่งแรกในศรีลังกา
สร้างโดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญที่ได้จากพระเจ้าอโศก
http://dhammapiwat.com/wp-content/uploads/2015/12/thuparama.jpg

    ศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง คือ ศรีลังกา ในคราวที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระธรรมวินัยและส่งพระ เถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่าง ๆ รวม ๙ สาย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓ นั้น พระมหินทเถระได้มายังเกาะศรีลังกาของชาวสิงหลซึ่งปกครองโดยพระเจ้าเทวานัม ปิยติสสะพระองค์ทรงศรัทธาใน พระพุทธศาสนาและทรงอุทิศมหาเมฆวันอุทยานเป็นวัดถวายแด่พระภิกษุ มีชื่อว่าวัดมหาวิหาร พระพุทธศาสนาที่เข้าสู่ลังกาในยุคนี้ เป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทพระมหินทเถระทรงนำพระไตรปิฎกและอรรถกถาไปสู่ลังกา ด้วย ต่อมาพระนางอนุฬาเทวีมเหสีทรงปรารถนาจะอุปสมบทพร้อมด้วยสตรีบริวารจำนวนมาก
 

อภัยคีรี อนุราธปุระ ศรีลังกาพุทธศตวรรษที่ ๕
ที่มา http://www.aroi.com/html/content/ID140707154457/09_2.jpg
 
     พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะจึงทรงส่งคณะทูตไปทูลขอพระนางสังฆมิตตาเถรีจากพระ เจ้าอโศกให้มาเป็นอุปัชฌาย์อุปสมบทแก่สตรีชาวลังกาพระนางสังฆมิตตาเถรีซึ่ง เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอโศกทรงมาดังประสงค์ พร้อมกับทรงนำกิ่งพระศรีมหาโพธิ์มาที่ลังกาทวีปและทรงตั้งคณะภิกษุณีของลังกาขึ้นในครั้งนั้น

เมื่อพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะสวรรคตแล้ว กษัตริย์สิงหลและกษัตริย์ทมิฬทำ สงครามผลัดกันครองราชสมบัติในลังกาสืบมาอีก ๑๐ กว่าพระองค์ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๕ พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัย กษัตริย์สิงหล เสด็จขึ้นครองราชย์เหล่าพระภิกษุสงฆ์พิจารณาเห็นความไม่มั่นคงของเหตุการณ์ บ้านเมือง และเห็นว่าการทรงจำพระธรรมวินัยสืบอายุพระศาสนาอย่างที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ต่อไปนี้คงทำ ได้ยาก จึงร่วมกันสังคายนาพระธรรมวินัยแล้วจดจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พระธรรมวินัยฝ่ายเถรวาทจึงได้จารึกเป็นอักษรลงในใบลานไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่ นั้น จนเมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆษาจารย์เดินทางจากอินเดียมายังศรีลังกา และปริวรรตคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ (บาลี)
 

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากศรีลังกาไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘
(ภาพโดยชัชวาลย์ เสรีพุกกะณะ)

     ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๗ ลังกาเดือดร้อนวุ่นวายด้วยภัยสงครามจากอินเดียและความไม่สงบภายใน สถานการณ์ด้านพระศาสนาก็สั่นคลอนไปด้วย จนเมื่อพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ ทรงฟื้นฟูสถานการณ์ด้านศาสนาโดยทรงอาราธนาพระสงฆ์จากเมียนมาร์ให้กระทำ อุปสมบทกรรมในลังกา เมื่อพระโอรสเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑5 ทรงยังคณะสงฆ์ที่แตกแยกมานานให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาจนกระทั่งลังกาได้เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธ ศาสนาฝ่ายเถรวาท ปรากฏเกียรติคุณแพร่ไปทั่ว มีพระสงฆ์และนักปราชญ์เดินทางจากนานาประเทศใกล้เคียงมาสืบพระพุทธศาสนาใน ลังกา แล้วนำกลับไปเผยแผ่ในประเทศของตนเป็นอันมาก

     โปรดติดตามเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฉบับถัดไป และเนื่องจากปีนี้พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนีมีอายุวัฒนมงคลได้ ๗๒ ปี ทางคณะนักวิจัยของสถาบันฯ จึงตั้งใจบูชาธรรมด้วยการจัดเสวนาวิชาการในหัวข้อ “คำถาม - คำตอบธรรมกาย” ในวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ณ อาคาร ๑๐๐ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง วัดพระธรรมกาย

1 พ.ศ. ๑๐๐๒-๑๐๖๕
2 วิมุตติมรรคเป็นคัมภีร์คู่กับคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์
3 義淨 หรือ 义净; pinyin: Yìjìng; Wade-Giles: I Ching (635-713 CE)
4 พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๒
5 พ.ศ. ๑๖๙๗-๑๗๓๐


http://www.dmc.tv/pages/ความรู้รอบตัว/หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ-ตอนที่-๑๐.html

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๙)

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๙)

เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙


     เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เขียนและคณะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมทางวิชาการและร่วมพิธีฉลองการ เปิดอาคารอเนกประสงค์ของวัดต้าฝอซื่อ ที่เมืองกว่างโจวสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจัดโดยภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น ร่วมกับวัดต้าฝอซื่อ ในการประชุมทางวิชาการนั้น มีการเสวนาบรรยายธรรมโดยพระมหาเถระคณาจารย์ฝ่ายปกครองรูปสำคัญของสาธารณรัฐ ประชาชนจีนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจคำสอนที่ถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้จริง ทั้งนี้ กิจกรรมการร่วมฉลองเปิดอาคารอเนกประสงค์ของวัดต้าฝอซื่อ และกิจกรรมการร่วมประชุมทางวิชาการนี้ ปรากฏว่ามีสาธุชนจำนวนมากหลั่งไหลมาร่วมพิธีกรรมอย่างล้นหลาม และต่างก็มีความปลื้มปีติใจโดยถ้วนหน้ากัน

     ในการนี้ ผู้เขียนและคณะมีโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนทัศนะและประสบการณ์ในการขยายงานพระพุทธศาสนาของ แต่ละพื้นที่ร่วมกับนักวิชาการระดับนานาชาติมากมาย ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า “มังกรตื่นแล้ว” (มังกร คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตื่นตัวขึ้นแล้วด้วยนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและ วัฒนธรรม ทำให้ชาวพุทธในจีนมีจำนวนมากขึ้น และทางวัดแต่ละแห่งก็ตั้งใจพัฒนาพระภิกษุสงฆ์ บุคลากร ให้เป็นเนื้อนาบุญ สืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป) ภาพที่เห็นคือ การมีนักวิชาการจากนานาประเทศเข้าร่วมประชุมและร่วมสัมมนากันถึงความสำคัญใน หัวข้อ“เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางทะเล”ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่าน มา พบว่าเป็นประเด็นที่นักวิจัยให้ความสนใจทำผลงานทางวิชาการด้านนี้น้อยมาก อย่างไรก็ดี จากการลงพื้นที่ภาคสนามของทีมงานสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI) ในครั้งนี้ ทางสถาบัน DIRI ได้เล็งเห็นถึงทิศทางและทราบถึงข้อมูลการศึกษาวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการ สืบค้นหลักฐานคัมภีร์โบราณในดินแดนแถบนี้ รวมทั้งตลอด “เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางทะเล” ด้วย ซึ่งทางทีมงานจะได้ค้นคว้าวิจัยต่อไป
 
Prof. Lewis Lancaster ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัย
เส้นทางแพรไหมทางทะเล กำลังบรรยายในหัวข้อ
“เส้นทางแพรไหมทางทะเลและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา”

     ผู้เขียนขอเสนอเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว ซึ่งเป็นจังหวะที่คณะทำงานได้เข้าร่วมการประชุมทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องดังกล่าวพอดี

    สำหรับเส้นทางการเผยแผ่นั้นใช้เส้นทางการค้าขายเป็นหลัก ดังกล่าวไว้แล้วว่าพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ทางบกตามเส้นทางแพรไหมไปทางตะวันออกถึงประเทศจีน ส่วนการเผยแผ่ตามเส้นทางค้าขายทางทะเลนั้นพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปถึงอาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรต่าง ๆ ของสุวรรณภูมิ
 

     อาณาจักรศรีวิชัย1 เป็นมหาอำนาจทางทะเลตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ แผ่อิทธิพลครอบคลุมเกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา รวมไปถึงทางใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญมาแต่โบราณ พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาจากอินเดียตอนใต้ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โจฬะ และจากเบงกอลภายใต้การปกครองของราชวงศ์ปาละ ซึ่งทั้ง ๒ สาย ล้วนเป็นพระพุทธศาสนานิกายมหายาน วัชรยาน อาณาจักรศรีวิชัยได้ส่งพระภิกษุไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ส่วนทางเบงกอลก็ได้ส่งพระภิกษุเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และส่งช่างฝีมือเข้ามาสอนศิลปะวิทยาการด้วย พระราชาทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงบำรุงพุทธศาสนาในทุก ๆ ทาง พระพุทธศาสนาในอาณาจักรศรีวิชัยจึงเจริญรุ่งเรืองเต็มที่ เผยแผ่ไปทั่วหมู่เกาะอินโดนีเซียและอาณาจักรอื่นๆในเอเชียอาคเนย์ อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองอยู่ประมาณ ๖๐๐ ปี2 ได้พบหลักฐานโบราณคดีทางพระพุทธศาสนามากมาย ทั้งประติมากรรมใหญ่น้อย พระพิมพ์ดินดิบ ศิลาจารึก รวมถึงพุทธสถานขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เช่น จันทิ-ส่าหรี3 จันทิกาลาสัน4 จันทิปะวน5 จันทิเมนดุต6 ในเมืองยอกยาการ์ตาของเกาะชวา
 

     จากบันทึกการเดินทางที่มีชื่อเสียงของพระภิกษุจีนอี้จิง7 ใน พ.ศ. ๑๒๑๔8 ท่านได้ออกจากเมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง โดยเรือของชาวอาหรับมาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยที่ศรีโภคะแล้วพำนัก อยู่ ๒ เดือน ก่อนเดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทาขากลับท่านแวะพักที่ศรีวิชัยอีก ครั้งนานถึง ๖ ปี9 ระหว่างปี พ.ศ. ๑๒๓๒-๑๒๓๘ บันทึกของท่านกล่าวว่า เวลานั้นพระพุทธศาสนาเจริญมากในศรีวิชัย มีพระสงฆ์กว่าพันรูปในเมืองศรีโภคะล้วนแต่มุ่งมั่นต่อการศึกษาพระธรรมต่าง ๆ มีวินัยและพิธีกรรมเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกันในอินเดีย และแนะนำว่าพระสงฆ์จีนควรแวะพักศึกษาเตรียมตัวที่นั่นเสียก่อนสักปีสองปี จึงค่อยเดินทางไปศึกษาคัมภีร์ดั้งเดิมทางตะวันตกท่านได้บันทึกไว้อีกว่า พระราชาและผู้นำเกาะ
 

     ต่าง ๆ ในทะเลใต้ล้วนมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีจิตมุ่งต่อการสั่งสมบารมี ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า อาณาจักรศรีวิชัยเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลาช้านานในราว พุทธศตวรรษที่ ๑๔ ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล ชนชาวพม่าเริ่มมีกำลังเข้มแข็ง รวบรวมกันเป็นปึกแผ่น สามารถควบคุมเขตลุ่มน้ำเอยาวดี (อิรวดี) และซิตตาวน์ (สะโตง) รวมถึงเส้นทางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย และได้สร้างเมืองพุกามขึ้นเป็นศูนย์กลางอาณาจักรพุกาม
 

    ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในสมัยพระเจ้าอโนรธา10 กษัตริย์แห่งพุกามผู้ทรงพระปรีชา11 ศาสนา ของอาณาจักรในขณะนั้นเป็นการปนเปของหลักพระพุทธศาสนานิกายมหายานกับการ นับถืออำ นาจธรรมชาติแบบพื้นเมือง พระองค์ได้นิมนต์พระชินอรหันต์ ซึ่งเดินทางมาจากมอญ อาณาจักรที่รุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อแสดงธรรม เมื่อจบธรรมเทศนา พระเจ้าอโนรธาทรงเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก และทรงยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ทรงให้ประชาชนเลิกนับถือผีสางเทวดา ให้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ต่อมาพระองค์ทรงประสงค์จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไปอีก พระชินอรหันต์จึงแนะนำ ให้อัญเชิญพระไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุจากเมืองสะเทิม (สุธรรมวดี) มาไว้ที่พุกาม
 

     สมัยนั้น พระเจ้ามนุหา กษัตริย์มอญที่เมืองสะเทิม ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อพระเจ้าอโนรธาทรงส่งพระราชสาส์นพร้อมกับทูตมายังเมืองสะเทิมเพื่อขอพระ ไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุนั้นพระเจ้ามนุหาทรงปฏิเสธ พระเจ้าอโนรธาจึงทรงยกทัพประชิดเมืองสะเทิม เมื่อชนะศึกก็ทรงจับพระเจ้ามนุหาเป็นเชลยและอัญเชิญพระไตรปิฎกและพระบรม สารีริกธาตุกลับไปพุกาม พร้อมกับกวาดต้อนช่างฝีมือต่าง ๆ จากมอญไปด้วย พุกามจึงได้รับการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการจากมอญเป็นอย่างมาก พระเจ้าอโนรธาทรงสร้างพระมหาเจดีย์และประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาไว้ที่พระมหาธาตุเจดีย์ชเวซิกอง

     พระองค์ยังทรงมีอุปการะต่อพระพุทธศาสนาในศรีลังกา โดยทรงส่งกองทัพเข้าช่วยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ กู้อาณาจักรคืนจากพวกโจฬะที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ยังทรงส่งพระภิกษุออกไปอุปสมบทให้ชาวลังกาและตรวจสอบชำระพระไตรปิฎก ของพุกามกับพระไตรปิฎกของลังกา เพื่อความบริสุทธิ์ของพระธรรมคำสอนพุกามได้เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนา12 ในเวลานั้น ความมั่งคั่งของอาณาจักรสะท้อนให้เห็นได้ด้วยจำนวนพุทธสถานในเมืองพุกาม ประมาณ ๕,๐๐๐ แห่งซึ่งยังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

      ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลังกาได้ย้ายเมืองหลวงลงมาอยู่ที่โปลนนารุวะ13 พระเจ้าปรากรมพาหุทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทรงรวมคณะสงฆ์ที่เคยแยกเป็นคณะต่าง ๆ เข้าด้วยกัน พระสงฆ์ในลังกามีวินัยเป็นระเบียบเรียบร้อยเคร่งครัดดีขึ้นกว่าแต่ก่อนภาย ใต้ความเป็นเอกภาพเดียวกัน กิตติศัพท์จึงเลื่องลือขจรไปยังนานาประเทศ ลังกาได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระสงฆ์จากอาณาจักรต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่ลังกา ทางพม่ามีพระภิกษุมอญชื่อฉปัต ได้ไปอุปสมบทและศึกษาที่ลังกาถึง ๑๐ ปี เมื่อกลับมาได้ตั้งสำนักเรียนขึ้นที่เมืองพุกามและสร้างพระเจดีย์ที่เรียก กันว่าเจดีย์ฉปัต14 ตามอย่างเจดีย์ในลังกาสำนักของท่านแยกจากคณะสงฆ์เดิมในพุกามต่อมาในปี พ.ศ. ๑๘๓๑ อาณาจักรพุกามถูกกุบไลข่านจากมองโกลเข้าทำลาย รวมเวลาที่พุกามรุ่งเรืองอยู่ ๒๔๐ ปี

    ส่วนอาณาจักรมอญในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ศรีปิฎกธร ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระสงฆ์ในเมืองมอญได้แตกเป็น ๖ คณะใหญ่ มีความหย่อนยานในวัตรปฏิบัติขาดความเป็นเอกภาพในคณะสงฆ์ พระเจ้าธรรมเจดีย์ศรีปิฎกธรจึงทรงนิมนต์คณาจารย์จาก ๖ คณะใหญ่ไปอุปสมบทใหม่ในลังกา เพื่อสร้างความเสมอภาคและเป็นปึกแผ่นของสังฆมณฑล พระคณาจารย์ ๒๒ รูป พระอนุจรอีก ๒๒ รูป รวมเป็น ๔๔ รูป เดินทางไปลังกาเพื่ออุปสมบทใหม่ กษัตริย์ลังกาทรงอุปถัมภ์ด้วยดี ทรงจัดให้มีการอุปสมบทแก่พระสงฆ์มอญตามประสงค์ เมื่อคณะสงฆ์บวชใหม่กลับเมืองหงสาวดีแล้ว พระเจ้าธรรมเจดีย์ก็มีพระราชโองการให้พระสงฆ์ทั่วแผ่นดินสึกทั้งหมด แล้วอุปสมบทใหม่กับคณะสงฆ์ที่บวชจากลังกานั้น พระสงฆ์คณะใหม่นี้คือคณะกัลยาณี มีพระสงฆ์อุปสมบทกว่า ๑๕,๐๐๐ รูป ในครั้งนั้นคณะสงฆ์ในเมืองมอญ หงสาวดี จึงกลับมาเป็นปึกแผ่น ล้วนมีวัตรปฏิบัติตามอย่างคณะมหาวิหารในลังกา
 

      จากข้อมูลข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล้วนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานยิ่ง อีกทั้งกระบวนการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็มีความหลากหลาย นอกจากจะต้องอาศัยพระบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองในการทรงเป็นอัคร ศาสนูปถัมภกแล้ว ยังต้องอาศัยการแผ่ขยายทางวัฒนธรรมการศึกษา เศรษฐกิจ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมระหว่างกันของประชาชนด้วยอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับที่ปรากฏในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาบนเส้นทางแพรไหมทางทะเลดังที่ มีนักวิชาการคนสำคัญ ๆ ได้ศึกษาไว้

     ฉบับหน้าทางคณะทีมงานจะได้นำเสนอรายละเอียดการศึกษาวิจัย และการเก็บข้อมูลภาคสนามในเมืองกว่างโจวให้ทราบกันต่อไป
 
1 Srivijaya
2 ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๘๐๐
3 Candi Sari (Candi Bendah) Dusun Bendan, Tirtomartani village, Kalasan, Sleman regency, Yogyakarta.
4 Candi Kalasan (Candi Kalibening) Kalasan District of Sleman Regency, Yogyakarta.
5 Candi Pawon (Bajranalan) Yogyakarta, Central Java, Indonesia.
6 Candi Mendut, Mendut village, Mungkid sub-district, Magelang Regency, Central Java, Indonesia
7 義淨 หรือ 义净; pinyin: Yìjìng; Wade–Giles: I Ching ((635 -713 A.D.)
8 671 A.D.
9 689-695 A.D.
10 พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐
11 หม่องทินอ่อง, หน้า ๓๒
12 หม่องทินอ่อง, หน้า ๓๗
13 Polonnaruva
14 Sapada

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๘)

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๘)

เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
 

      สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๙ เจริญพรท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์บทความพิเศษ “หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนและ ทีมงานนักวิจัยของสถาบันดีรี (DIRI) ทำการสืบค้นวิจัยให้ได้มาซึ่งหลักฐานเพิ่มขึ้น เพื่อทำความจริงให้ปรากฏและเป็นทนายแก้ต่างแก่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย สืบไป

    ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา คณะผู้บริหารและนักวิจัยได้เข้าร่วมการประชุมทางไกลข้ามทวีป (Video Teleconference) กับทีมงานวิจัยที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคสนามอยู่ในหลายประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกาจีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และนอร์เวย์ผลสรุปจากที่ประชุมมีดังนี้...

     เนื่องจากปีนี้เป็นปีอายุวัฒนมงคลครบ ๗๒ ปี ของพระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี วิ. (หลวงพ่อธัมมชโย) ผู้สถาปนาสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (สถาบันดีรี) ทางสถาบันฯ จะรวบรวมผลงานวิจัยที่ได้หลักฐานเพิ่มขึ้น และนำมาจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อการเผยแพร่เป็นธรรมทานในวงกว้างสืบไปนอกจาก นี้ที่ประชุมยังได้วางแผนงานพัฒนาบุคลากรให้แก่นักวิจัยรุ่นใหม่ด้วย
 

     ในฉบับนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ต่อจากฉบับที่แล้ว... (หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๗))

     จากที่พระเจ้ากนิษกะ ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ ๗ ดังที่เคยกล่าวไว้ไปแล้วนั้น ก่อให้เกิดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางตามเส้นทางการค้าขายโบราณทาง บกผ่านคันธาระเข้าไปในเอเชียกลางและต่อไปยังจีน ทำให้จีนกลายเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่มั่นคง ซึ่งจีนได้เผยแผ่พระศาสนาต่อไปยังมองโกเลีย เกาหลีญี่ปุ่น ทิเบต และเวียดนาม ในส่วนของเส้นทางการค้าทางทะเลนั้น พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปสู่อาณาจักรต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันได้แก่ อาณาจักรศรีวิชัยพุกาม ฟูนัน และจามปา ซึ่งจะกล่าวในลำดับต่อไป
 
เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามเส้นทางการค้าในยุคพระเจ้ากนิษกะและยุคต่อมา
ภาพ : ชัชวาลย์ เสรีพุกกะณะ

     พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีนราวปลายราชวงศ์โจว1 แต่เป็นไปในลักษณะเบาบางเล็กน้อยจนถึง ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๗ พระเจ้าฮั่นหมิงตี้2 แห่งราชวงศ์ฮั่นได้ส่งราชทูตไปสืบพระศาสนายังอาณาจักรโขตาน พร้อมกับนิมนต์พระภิกษุ ๒ รูป คือพระกาศยปมาตังคะ และ พระธรรมรักษ์กลับมายังนครหลวงลั่วหยางด้วย

     พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ได้สร้างอารามขึ้น ณ นครลั่วหยาง พระราชทานนามว่า “วัดไป๋หม่าซื่อ” หรือ “วัดม้าขาว” นับเป็นปฐมสังฆารามของจีน

    พระภิกษุทั้ง ๒ รูป เริ่มแปลพระธรรมคำสอนออกเป็นภาษาจีน โดย พระกาศยปมาตังคะแปลถ่ายทอด “พระสูตร ๔๒ บท” ส่วนพระธรรมรักษ์แปล “ทศภูมิสังโยชนภินทนสูตร” พระพุทธศาสนาในเวลานั้นยังไม่แพร่หลายนัก

    ต่อมาราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๗3 ภิกษุอดีตเจ้าชายชาวปาร์เธีย ชื่อ อันซื่อเกา4 ได้ จาริกมาที่นครลั่วหยาง ท่านได้แปลคัมภีร์พุทธศาสนาอินเดียออกเป็นภาษาจีน ๙๐ กว่าฉบับแต่สำนวนแปลของท่านเหลือมาถึงปัจจุบันเพียง ๑๐ กว่าฉบับเท่านั้นส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์ของฝ่ายสาวกยาน5 ในด้านพระอภิธรรมพระวินัย และการปฏิบัติสมาธิ(Meditation)ภาวนา6 เช่นคัมภีร์อานาปานสมฤติ7 เป็นต้น นับเป็นคัมภีร์พุทธศาสนาด้านการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่เก่าแก่มาก ที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน

    ในพุทธศตวรรษที่ ๙ พระกุมารชีพ8หรือ พระกุมารชีวะ9 ผู้มีกำเนิดสูงศักดิ์พระมารดาเป็นเจ้าหญิงชื่อชีพะแห่งอาณาจักรกูชา ส่วนบิดาเป็นชาวแคชเมียร์ชื่อกุมารยณะท่านได้เข้ามาในจีนเมื่อปี พ.ศ. ๙๔๔10 เดิมตัวท่านบวชเรียนในอินเดียและได้เผยแผ่ธรรมะที่อาณาจักรกูชาเรื่อยมาจนมีชื่อเสียง และได้รับนิมนต์จากเจ้าแคว้นโห้วฉิน11 ให้พำนักที่เมืองฉางอัน โดยได้รับการสถาปนาเป็นพระราชครู

    พระกุมารชีพเป็นผู้มีบทบาทอย่างยิ่งในการแปลคัมภีร์ทางพุทธศาสนาออกเป็นภาษา จีน ท่านแปลคัมภีร์ต่าง ๆ มากมายรวมถึงพระไตรปิฎกภาษาสันสกฤต ๗๔ คัมภีร์ รวม ๓๘๔ ผูก เช่น คัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรและคัมภีร์สัตยสิทธิศาสตร์ของฝ่ายสาวกยาน การแปลของท่านเป็นที่นิยมกันว่าถูกต้องเที่ยงตรง เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญรอบรู้ทั้งทางจีนและอินเดีย สามารถแปลอุปมาอุปไมยในสันสกฤตเป็นภาษาจีนได้อย่างลึกซึ้งและเห็นภาพชัดเจน ท่านมรณภาพเมื่ออายุ ๗๔ ปี นับเป็นผู้มีคุณูปการยังพระศาสนาในจีนให้ไพบูลย์
 
วัดม้าขาว ไป๋หม่าซื่อ นครลั่วหยาง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๖๑๐

    ในช่วงต้นที่พระพุทธศาสนาเผยแผ่มายังประเทศจีน ยังต้องอาศัยพระภิกษุต่างชาติในการถ่ายทอดและแปลคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็น ภาษาจีนอย่างต่อเนื่องอีกหลายท่าน กล่าวคือพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ท่านคุณภัทรแห่งอินเดียกลาง ได้แปลพระสูตรธรรมทุนทุภิศรีมาลาเทวีสูตรและลังกาวตารสูตรช่วงต้นพุทธศตวรรษ ที่ ๑๑ ท่านโพธิรุจิแห่งอินเดียเหนือ แปลทศภูมิศาสตร์ ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น ท่านปรมัตถะแห่งอินเดียตะวันตก แปลคัมภีร์ฝ่ายปรัชญาโยคาจารและปรัชญาภูตตถตาวาทิน
 
 
ภาพวาด พระภิกษุอันซื่อเกา(ภาพยุคปัจจุบัน)
ที่มา http://blog.sina.com.cn/s/blog_9b8530cf0102w29g.html


คัมภีร์ฝอซัวม่าอี้จิง ซึ่งเชื่อกันว่าแปลเป็นภาษาจีนโดยพระภิกษุอันซื่อเกา สมัยราชวงศ์โห้วฮั่น
ที่มา http://auction.artxun.com/paimai-109895-549472013.shtml

    ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ท่านติปิฎกธราจารย์12 เสวียนจัง (พระถังซำจั๋ง) ได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธธรรมที่มหาวิทยาลัยนาลันทานานถึง ๑๗ ปี เมื่อรวมการเดินทางไปกลับเป็นระยะทางถึงกว่า ๕ หมื่นลี้13 จดหมายเหตุบันทึกเรื่องราวระหว่างทางของท่านมากไปด้วยข้อมูลของดินแดนใน เอเชียกลางและเอเชียใต้เมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ท่านเดินทางไปด้วยตนเอง ๑๑๐ แคว้น ขณะที่อีก ๒๘ แคว้นท่านบันทึกจากคำบอกเล่า นับเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง
 
อนุสาวรีย์พระกุมารชีพ ประดิษฐานไว้หน้าวัดถ้ำคิซิล กูชา มณฑลซินเจียง จีน
ที่มา http://farm3.staticflickr.com/2205/2047925776_d1ddc54e0f_z.jpg

    เมื่อท่านกลับประเทศจีน ก็ได้นำพระไตรปิฎกฉบับภาษาสันสกฤตกลับมาด้วยเมื่อถึงนครหลวงฉางอันใน พ.ศ. ๑๑๘๘ เป็นต้นมาท่านได้แปลคัมภีร์ถึง ๗๖ ฉบับ จำนวนรวม ๑,๓๔๗ ผูก ออกสู่ภาคภาษาจีน มีทั้งคัมภีร์ฝ่ายศูนยตวาทินและโยคาจาร จักรพรรดิถังไท่จงทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงอุปถัมภ์การแปลพระไตรปิฎกของพระเสวียนจั้งจักรพรรดิถังเกาจงรัชกาลถัด มาทรงรับอุปถัมภ์งานแปลพระไตรปิฎกต่อไปอีก งานของท่านจึงเป็นงานพระพุทธศาสนาที่ผู้แปลเป็นพระภิกษุชาวจีน พระเสวียนจั้งดำเนินงานต่อไปจนมรณภาพในปี พ.ศ. ๑๒๐๗14 รวมอายุได้ ๖๒ ปี
 
เจดีย์ม้าขาว (ไป๋หม่าถ่า) หน้าถ้ำตุนหวงสร้างอุทิศพระกุมารชีพ มณฑลกันซู จีน
ที่มา http://z.abang.com/d/gansu/1/3/5/2/-/-/bmt1.jpg


งานแปลฉบับพิมพ์สัทธรรมปุณฑริกสูตรสำนวนของพระกุมารชีพ
ที่มา http://images.takungpao.com/2014/0912/20140912031428772.jpg

    ต่อมาประเทศจีนได้เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศข้าง เคียง เช่น ทิเบต มองโกเลีย เกาหลี ญี่ปุ่นและเวียดนาม อีกนานหลายศตวรรษ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระเจ้าซงเซนกัมโปะ แห่งทิเบตได้รุกรานจีนไปถึงเมืองเสฉวน จักรพรรดิถังไท่จง ในสมัยนั้น ทรงพระประสงค์จะผูกสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์แห่งทิเบต จึงพระราชทานพระธิดาพระองค์หนึ่ง คือ เจ้าหญิงเหวินเฉิง ให้เป็นพระมเหสีกษัตริย์ทิเบตในขณะนั้นทิเบตได้ยกกองทัพเข้ารุกรานเนปาล เช่นกัน กษัตริย์เนปาลก็ทรงกระทำเช่นเดียวกับจีน คือ ถวายพระราชธิดา คือ เจ้าหญิงกุฏีเทวีเป็นพระมเหสีของกษัตริย์ทิเบต พระมเหสีทั้งสองทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงนำพระพุทธรูปพระธรรมคัมภีร์ไปยังทิเบตด้วย ซึ่งปรากฏว่าเป็นที่สบพระทัยของพระเจ้าซงเซนกัมโปะพระพุทธศาสนาจึงได้เริ่ม วางรากฐานในทิเบต
 
(ซ้าย) อนุสาวรีย์พระเสวียนจั้ง (พระถังซำจั๋ง)หน้าพระเจดีย์ห่านป่าใหญ่ (ต้าเอี้ยนถ่า)
ในวัดต้าเฉียน (ต้าฉือเอินซื่อ) ซีอาน มณฑลส่านซี จีนที่ใช้เป็นสถานที่แปลคัมภีร์เป็นภาษาจีน
(ขวา) ภาพวาดพระเสวียนจั้ง (พระถังซำจั๋ง)
ที่มา http://www.buddhanet.net/bodh_gaya/images/bgimage07.jpg

    พระเจ้าซงเซนกัมโปะทรงสร้าง วัดโจกังเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาของทิเบตทรงส่งทูตไปศึกษาพระพุทธศาสนา และภาษาต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย เมื่อกลับมายังได้นำเอาอักษรเทวนาครีของอินเดียมาปรับใช้เป็นอักษรทิเบต และคัดลอกคัมภีร์ภาษาสันสกฤตด้วยอักษรทิเบต ในรัชสมัย พระเจ้าราลปาเชน15 ผู้ทรงมีพระราชศรัทธาใน พระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า มีการติดต่อกับทางอินเดียด้านพระพุทธศาสนามากขึ้น ได้อาราธนาพระคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยนาลันทาและมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา มาสอนธรรมะ และแปลพระคัมภีร์จากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาทิเบต จึงทำให้ทิเบตเป็นแหล่งรวมพระคัมภีร์ทั้งฝ่ายสาวกยานและมหายาน นับเป็นแหล่งค้นคว้าหลักฐานทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
 
วัดโจกัง พุทธอารามแห่งแรกของทิเบต
http://f.ptcdn.info/783/005/000/1370175671-jokhangtem-o.jpg


ตัวอย่างอักษรทิเบตที่ใช้เขียนคัมภีร์พุทธศาสนา (บทสวดโพธิจิต)
ที่มา http://www.gonghoog.com/main/index.php/
component/content/category/16-2012-11-18-01-46-13

     เมื่อย้อนกลับมาที่ชมพูทวีประหว่างพ.ศ. ๑๒๒๓-๑๖๖๓ เวลานั้นมีมหาวิทยาลัยในพระพุทธศาสนาอยู่หลายแห่ง ทางฝ่ายสาวกยานมีมหาวิทยาลัยวลภี ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกและฝ่ายมหายานมีมหาวิทยาลัยนาลันทามหาวิทยาลัยโอทันต ปุระ มหาวิทยาลัยวิกรมศิลา มหาวิทยาลัยโสมปุระ และมหาวิทยาลัยชคัททละ เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออก สำหรับเส้นทางการเผยแผ่นั้นใช้เส้นทางการค้าขายเป็นหลัก ดังกล่าวไว้แล้วว่าพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ทางบกตามเส้นทางแพรไหมไปทางตะวัน ออกถึงจีน ส่วนการเผยแผ่ตามทางค้าขายทางเรือนั้น พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปถึงอาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรต่าง ๆ ของสุวรรณภูมิ

     จากการที่ผู้เขียนและทีมงานนักวิจัยของสถาบันฯ ได้ตั้งใจศึกษาเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงทำให้มีโอกาสเดินทางไปสำรวจในพื้นที่เหล่านี้ และได้พบหลักฐานและข้อมูลรายละเอียดจากผู้รู้ นักวิชาการ ที่มีผลงานระดับโลก ซึ่งจะได้นำเสนอในฉบับต่อไป
 
1 周朝 ประมาณ ๑,๑๒๓ ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง ๒๕๖ ปีก่อนคริสต์ศักราช
2 明帝 หรือ 漢明帝
3 ๑๔๘ CE http://en.wikipedia.org/wiki/An_Shigao วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘
4 安世高
5 นิกายสรรวาสติวาท
6 ศึกษารายชื่อคัมภีร์ที่ท่านอันซื่อเกาแปลได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/An_Shigao
7 Ānāpānasmṛti ("mindfulness of breathing") and the "twelve gates" 《安般守意经》、《大十二门经》、《小十二门经》
8 ค.ศ. ๓๔๔ - ๔๑๓
9 鳩摩羅什 หรือ 鸠摩罗什 pinyin: Jiūmóluóshí
10 ค.ศ. ๔๐๑
11 ในยุค ๑๖ แคว้น
12 玄奘; pinyin: Xuánzàng;
13 ใช้เวลาทั้งสิ้น ๑๙ ปี รวมเวลาที่ใช้ในการเดินทางและการศึกษา
14 ๖๖๔ A.D.

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๗)

บทความพิเศษ
เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI

 
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ
(ตอนที่ ๗)
      เดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ ผู้เขียนได้รับเชิญจากเจ้าภาพ คือ ประธานพุทธสมาคมจีนให้เข้าร่วมประชุม World Buddhist Forumครั้งที่ ๔ ที่เมือง Wu Xi ซึ่งมีผู้แทนองค์กรชาวพุทธถึง ๕๒ ประเทศเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่พุทธบริษัทจะมา รวมเป็นหนึ่งเดียว ในช่วงนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนจะเดินทางไปเมืองซีอานอีกครั้งหนึ่ง ตามที่นัดหมายกับท่านศาสตราจารย์ยูว ยีว์ ผู้มีน้ำใจเป็นกุศล ที่ช่วยนัดให้พบกับท่านเจ้าอาวาส คือพระธรรมาจารย์เจิ้งฉินฝ่าซือ ประธานพุทธสมาคมแห่งมณฑลส่านซี ซึ่งท่านมีเมตตากล่าวชวนให้ไปใหม่อีกครั้ง จะได้เตรียมพระคัมภีร์โบราณที่ทางวัดเก็บรักษาไว้มาให้ชม เพราะช่วงนี้ทางวัดมีงานบุญประจำปี อีกทั้งท่านต้องไปร่วมประชุมกับประธานพุทธสมาคมแต่ละมณฑลทั่วประเทศ อย่างไรก็ดีท่านเจ้าอาวาสเมตตาอนุญาตให้ไปที่ห้องพิเศษ เพื่อสักการะพระธาตุจอมกระหม่อมของพระถังซำจั๋งและคัมภีร์ต้นฉบับจริงที่ ท่านนำมาจากอินเดีย จึงนับว่าเป็นบุญวาสนาของพวกเรา และเราเชื่อว่าจะต้องได้ไปเยี่ยมที่นี่อีกอย่างแน่นอน เพื่อทำงานภาคสนาม


ฉบับนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงเรื่องเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบไป
      พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้าไปในดินแดนแถบเอเชียกลางในราวพุทธศตวรรษที่ ๖ อาณาจักรและเมืองสำคัญในยุคดังกล่าวตั้งอยู่ริมแอ่งทาริม รอบทะเลทรายตากลามากันบนเส้นทางแพรไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าขายมาแต่โบราณ สถานที่เหล่านี้ ได้แก่ เมืองคิซิลกูชา อาณาจักรทูร์ฟาน บนเส้นทางแพรไหมตอนเหนือ และอาณาจักรโขตาน เมืองนิยะเมืองตุนหวง บนเส้นทางแพรไหมตอนใต้ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งที่พบพุทธคัมภีร์โบราณ
 
แหล่งค้นพบพุทธคัมภีร์โบราณ เส้นทางแพรไหมตอนเหนือ เช่น คิซิล กูชา ทูร์ฟาน
เส้นทางแพรไหมตอนใต้ เช่น โขตาน นิยะ ตุนหวง

ที่มา http://irfu.cea.fr/Sap/Phocea/Vie_des_labos/Ast/ast.php?id_ast=2615

      อาณาจักรโขตานตั้งอยู่ตอนใต้ของแอ่งทาริม เชิงเขาคุนหลุน เป็นโอเอซิสที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำยูรุงกาชและการากาช จึงได้รับความอุดม สมบูรณ์จากแม่น้ำ ๒ สาย อาณาจักรโขตานเป็นศูนย์กลางสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตั้งแต่เริ่มรับพระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ ๖ อย่างต่อเนื่อง จนถึงราว พุทธศตวรรษที่ ๑๖ พระภิกษุจีนฝาเสี่ยน ผู้เคยเดินทางผ่านมา ได้บันทึกไว้ว่า “ประเทศนี้เจริญมั่งคั่งและมากไปด้วยประชากร ประชาชนทั้งหมดเป็นผู้ยึดมั่นเปี่ยมศรัทธาในธรรมะ และมักมีวิธีสันทนาการด้วยบทเพลงทางศาสนาพระสงฆ์ที่นี่มีหลายหมื่นรูป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมหายาน” ความนิยมทางฝ่ายมหายานที่นี่เป็นปรากฏการณ์ตรงข้ามกับเส้นทางแพรไหมตอนเหนือ ที่นิยมพระพุทธศาสนาสาวกยานมากกว่า สถานที่สำคัญที่ค้นพบคัมภีร์โบราณทางตะวันออกเฉียงเหนือของโขตาน คือตันตันอูอิลิก ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการขุดค้นไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าไป
 
พุทธโบราณสถานตันตันอูอิลิก
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโขตาน

ที่มา http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6c/Ancient_Khotan_BLER2_AKV1_FP246_
FIG29.jpg/240px-Ancient_Khotan_BLER2_AKV1_FP246_FIG29.jpg

 
จิตรกรรมพระพุทธเจ้า
พุทธโบราณสถานตันตันอูอิลิก โขตาน

ที่มา http://idp.bl.uk/archives/news32/idpnews_32.a4d

 
คัมภีร์สุวรรณประภาสสูตร อักษรพราหมีภาษาโขตาน กระดาษ พุทธศตวรรษที่ ๑๐
ที่มา http://idp.bl.uk/4DCGI/education/symposium/goldenlight/index.a4d

 
วัดถ้ำพุทธสถานโบราณคิซิล
กูชา มณฑลซินเจียง จีน พุทธศตวรรษที่ ๙-๑๓

ที่มา http://mongolschinaandthesilkroad.blogspot.com/2012/04/tocharian-and-tocharians.html

        กูชา เป็นอาณาจักรพุทธโบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำมูสาท บนเส้นทางแพรไหมตอนเหนือ พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้ามาราวพุทธศตวรรษที่ ๖ กูชาได้เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ ๘ อาณาจักรกูชาเป็นบ้านเกิดของพระภิกษุกุมารชีวะผู้มีคุณูปการมหาศาลแก่ประเทศ จีนในด้านพระพุทธศาสนา พระภิกษุเสวียนจั้ง (พระถังซำจั๋ง) ได้เขียนบรรยายถึงอาณาจักรนี้ไว้ว่า “มีอารามกว่าร้อยแห่ง และมีพระสงฆ์กว่าห้าพันรูป ล้วนเป็นหินยานนิกายสรรวาสติวาทซึ่งมีคำสอนและวินัยคล้ายกับทางอินเดีย...มี พระพุทธรูปสูง ๙๐ ฟุต ประดิษฐานอยู่หน้าประตูเมืองด้านตะวันตก”

      วัดถ้ำพุทธสถานโบราณคิซิลเป็นวัดถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลซินเจียง ประกอบด้วยถ้ำเล็กใหญ่ ๒๓๖ ถ้ำ ขุดเจาะเข้าไปในหน้าผายาวกว่า ๒ กิโลเมตร จิตรกรรมภายในถ้ำ    เป็นเรื่องราวชาดกและอวทานของนิกายสรรวาสติวาท จากเนื้อหาในคัมภีร์ที่พบที่กูชา ทำให้ทราบว่าหนึ่งในจิตรกรรมถ้ำที่คิซิลนั้น กษัตริย์ชาวโตคาเรียนทรงพระนามว่า เมนทเร มีรับสั่งให้วาดขึ้นภายใต้คำแนะนำของพระเถระชื่ออนันทวรมัน โดยฝีมือ ช่างเขียนชาวอินเดียชื่อนรวาหนทัตตะ กับอีกท่านมาจากซีเรียชื่อปรีย รัตนะ และกษัตริย์โขตานทรงพระนามว่าวิชยวรธนะและมูร์ลิมิน ได้ส่งช่างมา เขียนภาพจิตรกรรมไว้ในอีกถ้ำหนึ่งด้วย
 
จิตรกรรมแสดงอมนุษย์ตามที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา เช่น เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสุรา ครุฑ กินนร
และ มโหราคะ  วัดถ้ำพุทธสถานโบราณคิซิล กูชา มณฑลซินเจียง จีน

ที่มา http://www.visitourchina.com/kucha/attraction/kizil-grottos-kizil-thousand-buddha-caves.html

 
ชิ้นส่วนพุทธคัมภีร์โบราณ อักษรพราหมีภาษาโตคาเรียน14 พุทธศตวรรษที่ ๘-๑๓
ที่มา http://mongolschinaandthesilkroad.blogspot.com/2012/04/tocharian-and-tocharians.html

 
บริเวณพุทธโบราณสถาน ถ้ำเบเซกลิก ทูร์ฟาน มณฑลซินเจียง จีน พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘
ที่มา http://www.mygola.com/bezeklikthousand-buddha-caves-p120927

      อาณาจักรทูร์ฟาน เป็นพื้นที่โอเอซิสหรือพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ในทะเลทราย ตากลามากัน ตั้งอยู่บนเส้นทางแพรไหมตอนเหนือมีพื้นที่ ๑๗๐ ตารางกิโลเมตรโดยประมาณอยู่ระหว่างเมืองเจียวเหอและเกาชาง เขตเมืองทูร์ฟานใหม่ในมณฑลซินเจียงของจีน พุทธ-โบราณสถานที่เหลืออยู่ในปัจจุบันคือวัดถ้ำ     เบเซกลิก สร้างขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ พุทธคัมภีร์โบราณของทูร์ฟานปัจจุบันเป็นสมบัติของเบอร์ลินคอลเลกชัน พบว่า ชิ้นส่วนคัมภีร์พุทธศาสนาที่เก่าที่สุดของที่นี่มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ เป็นคัมภีร์ที่สร้างด้วยความประณีตบรรจง โดยใช้หมึกสีแดงเขียนเฉพาะคำว่า “พุทธะ” และ “โพธิสัตวะ”หรือใช้กับคำแรกของคาถาเป็นต้น อักษรที่ใช้จารึกส่วนใหญ่เป็นอักษรอุยกูร์ที่พัฒนามาจากอักษรซอกเดียน มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ อักษรทิเบตและพราหมี เนื้อหาในคัมภีร์แปลมาจากภาษาจีน ทิเบต สันสกฤต โตคาเรียนหรือ
ซอกเดียน แต่ก็พบคัมภีร์ท้องถิ่นประเภทร้อยกรองและวรรณกรรมของคฤหัสถ์ เช่นกัน นอกจากนี้ยังพบคัมภีร์ที่พิมพ์จากแม่พิมพ์ไม้อีกด้วย

 
จิตรกรรมพระพุทธเจ้าพันพระองค์
พุทธโบราณสถานถ้ำเบเซกลิก ทูร์ฟาน มณฑลซินเจียง จีน

ที่มา http://www.bartellonline.com/chinapic.php?i=25600

จิตรกรรมแสดงภาพพระภิกษุชาวเอเชียกลาง
นัยน์ตาสีฟ้า เทศนาสั่งสอนพระภิกษุเอเชียตะวันออก
พุทธโบราณสถานถ้ำเบเซกลิก ทูร์ฟาน มณฑลซินเจียง จีน พุทธศตวรรษที่ ๑๕

ที่มา http://www.lankaweb.com/news/items/2012/05/17/temple-discovery-revealsbuddhisms-
ancient-spread-to-china-from-india

คัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร อักษรพราหมี
ภาษาสันสกฤต กระดาษ พุทธศตวรรษที่ ๑๐

ที่มา http://idp.bl.uk/4DCGI/education/comenius/manuscripts.a4d

วัดถ้ำพุทธศาสนาโม่เกา ตุนหวง
เส้นทางแพรไหมตอนล่าง มณฑลกันซู จีน

ที่มา http://epic-curiousity.com/wp-content/uploads/2014/08/mogao.jpg

ภายในวัดถ้ำหมายเลข ๓๒ โม่เกา ตุนหวง มณฑลกันซู จีน
ที่มา https://32minutes.wordpress.com/2013/06/05/mogao-caves/

จิตรกรรมเพดานถ้ำแสดงพระพุทธเจ้าหลายพระองค์โม่เกา ตุนหวง มณฑลกันซู จีน
ที่มา http://steppemagazine.com/articles/reviewcaves-dunhuang/

คัมภีร์วัชรัจเฉติกสูตร ภาษาจีน กระดาษต้นปอสิ่งพิมพ์ได้จากโม่เกา พุทธศตวรรษที่ ๑๕
 ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่หอสมุดบริติช

ที่มา http://www.aardvarknet.info/access/number43/dunhuang2_big.jpg

ม้วนคัมภีร์กระดาษ ภาษาจีน จากโม่เกา ตุนหวง มณฑล กันซู จีน พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔
ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก

ที่มา http://news.lib.uchicago.edu/blog/2012/08/

คัมภีร์พุทธศาสนา อักษรพราหมี ถ้ำโม่เกา ตุนหวง
มณฑลกันซู จีน ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่หอสมุดบริติช

ที่มา http://farm5.static.flickr.com/4115/4866403781_72778fe2eb_z.jpg

      จากการศึกษาเส้นทางการเผยเเผ่นี้ ผู้เขียนและคณะนักวิจัยสถาบันดีรีสรุปได้ว่า ดินแดน
ของจีนนับเป็นเเหล่งข้อมูลในระดับปฐมภูมิที่มีจำนวนมหาศาล สถาบันดีรีจึงได้จัดบุคลากรและ
แผนการทำงานวิจัยในภาคสนาม เพื่อสืบค้นคำสอนดั้งเดิม ให้ได้มาซึ่งหลักฐานร่องรอยธรรมกาย
สืบไป (โปรดติดตามฉบับหน้า)